ทุกท่าน สามารถ ติดต่อ เช่า-บูชาพระ ได้ที่ Line , Facebook

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

ประวัติ หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม

ประวัติ หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม

หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว


หลวงปู่เจือ ปิยสีโล วัดกลางบางแก้ว
“หลวงปู่เจือ” ผู้สืบสานวิชาเบี้ยแก้ สายวัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เจือ ปิยสีโล รองเจ้าอาวาส วัดกลางบางแก้ว ต.นครชัยศรี อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษเกี่ยวกับขั้นตอนการทำ “ เบี้ยแก้ ” ที่มีผู้นำไปใช้แล้วต่างยืนยันว่า ป้องกันสัตว์มีพิษทุกชนิดไม่สามารถทำร้ายได้ ตลอดจน การป้องกันคุณไสยสารพัด ในยามปกติก็ใช้ในทางเมตตามหานิยม พร้อมทั้ง เผยแพร่วิชาการทำ“ เบี้ยแก้ ” ให้กับพระลูกศิษย์ไปแล้ว 5 รูป และนี่คือบทสัมภาษณ์พิเศษ ข้อมูล : จากหน้าพระเครื่อง คม ชัด ลึก มีนาคม 2545

ทีมข่าวพระเครื่อง * ตอนนี้หลวงปู่มีสุขภาพแข็งแรง...อายุเท่าไหร่แล้วครับ ?
หลวงปู่เจือวัดกลางบางแก้ว   - อายุ 85 ปีแล้ว ไม่นานมานี้เอง

* หลวงปู่บวชตั้งแต่อายุเท่าไหร่ครับ ?
- เมื่ออาตมาอายุ 26 ปีก็ได้บวชเป็นพระ โดยมีความคิดว่า บวชให้ครบพรรษา แล้วก็จะสึก ไม่คิดว่าจะบวชยาวนานถึงขนาดนี้ หลังออกพรรษา ได้นัดวันสึกกับหลวงพ่อไว้แล้ว แต่พอถึงวันสึกจริงๆ หลวงพ่อกลับไม่อยู่ ก็เลยไม่ได้สึก ที่อยากสึกตอนนั้นก็เพราะใจยังอยากจะเที่ยว เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไป

* เหตุไฉนมีอะไรดลใจทำให้หลวงปู่ไม่คิดที่จะสึกจากการเป็นพระครับ ?
- เพราะได้ไปอ่านหนังสือสวดมนต์ที่มีอยู่ในวัดมากมาย จนสามารถท่องจำได้หลายสิบเล่ม เมื่อนึกจะสึกก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน เพราะได้อ่านหนังสือจนสามารถเข้าถึงรสพระธรรมได้อย่างถ่องแท้ ซึ่งกว่าจะอ่านให้เข้าใจได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน

* หลวงปู่คิดว่าจะมีอายุอยู่ถึง 100 ปีไหมครับ ?
- อาตมาว่าคงไม่ถึงหรอก

* เมื่อหลวงปู่อายุไม่ถึง 100 ปี วิชาที่ได้ร่ำเรียนมาหรือคาถาต่างๆมีการถ่ายทอดให้ใครบ้างครับ ?
- ส่วนใหญ่ก็ถ่ายทอดให้พระลูกศิษย์ในต่างจังหวัดไปบ้างแล้ว ประมาณ 5 รูป ที่จำได้เป็นพระอยู่ที่วัดประดู่ จ.สมุทรสงคราม วัดผานางคอย จ.อุบลราชธานี

* การถ่ายทอดวิชานั้น หลวงปู่มีขั้นตอนการเลือกลูกศิษย์อย่างไรครับ ?
- อาตมาไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์อะไร เพียงแต่ใครมีเจตนา ที่ต้องการจะเรียนวิชาก็จะสอนให้ส่วนจะเอาไปทำ “ เบี้ยแก้ ” หรือไม่นั้น ไม่เคยรู้

* พระเกจิอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ หลวงปู่คิดว่าจะสูญหายไปไหมครับ ?
- ของหลวงพ่อองค์อื่นๆไม่แน่ แต่ของอาตมารับรองไม่มีวันสูญ ใครอยากได้ก็จะสอนให้หมด

* พระที่มาเรียนกับหลวงปู่แล้วการทำ “ เบี้ยแก้ ” จะขลังเหมือนกับของหลวงปู่ไหมครับ ?
- อันนี้อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าน่าจะใช้ได้ คงไม่แตกต่างกันนัก ถ้ามีการลงวิชาครบทุกอย่างตามตำรา

* วิชาการทำ “ เบี้ยแก้ ” หลวงปู่ไปเรียนมาจากอาจารย์ไหนครับ ?
- ได้เรียนรู้วิชา “ เบี้ยแก้ ” จาก หลวงปู่เพิ่ม อดีตเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว ซึ่งหลวงปู่เพิ่มได้วิชานี้มาจาก หลวงปู่บุญ อดีตเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว องค์ก่อนหน้าท่าน และหลวงปู่บุญได้เรียนมาจาก พระปลัดทอง อดีตเจ้าอาวาสองค์ถัดไปอีก จึงถือได้ว่าวิชา “ เบี้ยแก้ ” เป็นวิชาหลักเก่าแก่ของวัดกลางบางแก้วโดยตรง เมื่ออาตมาได้เรียนรู้แล้ว หลวงปู่เพิ่มได้ให้อาตมาฝึกทำเบี้ยแก้มาตลอด

* ลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่วัดขณะนี้มีผู้มาเรียนวิชา “ เบี้ยแก้ ” ไหมครับ ?
- ที่วัดนี้ยังไม่มีลูกศิษย์รูปไหนมาขอเรียนวิชา “ เบี้ยแก้ ” เลย

* “ เบี้ยแก้ ” ที่หลวงปู่ทำและปลุกเสกให้ชาวบ้านนำไปใช้นั้น มีดีอะไรครับ ?
- เท่าที่ลูกศิษย์นำไปใช้เขาก็บอกว่า ดีไปคนละอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันภัยจากงูหรือตะขาบ คนที่มี “ เบี้ยแก้ ” ติดตัว พวกงู ตะขาบ หรือ สัตว์มีพิษต่างๆจะไม่กัด การป้องกันคุณไสย ตลอดจนเป็นเมตตามหานิยมด้วย

* จุดประสงค์หลักที่หลวงปู่ทำ “ เบี้ยแก้ ” เพื่ออะไรครับ ?
- ที่สำคัญก็เพื่อ ต้องการรักษา และสืบทอดวิชา “ เบี้ยแก้ ” เอาไว้ให้กับลูกหลานสืบต่อกันไป เพราะว่ายังมีคนเห็นประโยชน์ของเบี้ยแก้ และมีคนจำนวนหนึ่งยังต้องการที่จะนำไปใช้ติดตัวในการแก้และกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น

* ขั้นตอนการทำ “ เบี้ยแก้ ” จนถึงการปลุกเสกต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?
- ขั้นแรกต้องหา “ หอยเบี้ย ” ซึ่งได้มาจากทะเลลึก ส่วนใหญ่ได้มาจาก จ.ภูเก็ต (ถ้าหากถูกต้องตามตำราต้องเป็น
“ หอยเบี้ย ” ที่มีฟันครบ 32 ซี่ ซึ่งหายากบางครั้งต้องอนุโลม) แล้วเอา “ ปรอท ” กรอกใส่ลงไปในตัว “ หอยเบี้ย ” ขณะกรอกใส่ต้องบริกรรมคาถาไปด้วย เสร็จแล้วอุดปาก “ หอยเบี้ย ” ด้วย “ ชันโรง ” ที่ได้มาจากประเทศลาว ( “ ชันโรง ” เป็นชื่อของ “ ผึ้ง ” ชนิดหนี่ง มี “ รัง ” เป็นยางเหนียวๆ สีน้ำตาลเข้มๆ จนถึงดำ เรียกว่า “ ชันโรง ” ส่วนใหญ่ทำรังบนต้นไม้ ชาวเรือเอาไปอุดรอยต่อของไม้กระดานเรือ สำหรับ “ ชันโรง ” ที่นำมาอุด “ หอยเบี้ย ” ตามตำรากำหนดต้องเป็น “ ชันโรง ” ที่ได้มาจากใต้ดิน และบริเวณนั้นต้องไม่มีต้นไม้ปกคลุมอยู่ด้วย)
เมื่ออุด “ ชันโรง ” แล้วก็นำ “ แผ่นตะกั่ว ” มาห่อหุ้มให้มิดชิด เสร็จแล้วลงอักขระลงบนแผ่นตะกั่ว แล้วจึงเอาไป “ ถักหุ้มด้วยเส้นด้าย ” อีกชั้นหนึ่งให้สวยงาม จากนั้นก็ลงรัก (สีดำๆ) เพื่อให้มั่นคงแข็งแรง บางคนก็ไม่นิยมลงรักก็มี

* ทำไมถึงต้องเอา “ ชันโรง ” จากประเทศลาวครับหลวงปู่ ?
- เพราะ “ ชันโรง ” ในเมืองไทยหมดไปแล้ว หาไม่ค่อยได้ แต่ที่ลาวมีผู้พบเห็นบ่อย “ ชันโรง ” ที่เห็นเป็นก้อนดำๆแบบนี้ เป็นรังของสัตว์ จำพวกแมลงที่เหมือนตัวผึ้งอยู่ใต้ดิน

* “ เบี้ยแก้ ” นอกจากมี “ หอยเบี้ย ” มีชันโรงแล้วทำไมต้องมีปรอท ด้วยครับ ถือเคล็ดอะไรหรือครับหลวงปู่ ?
- การที่ต้องมี “ ปรอท ” ใน “ เบี้ยแก้ ” ก็ด้วยความหมายว่า จะได้มีความว่องไวเหมือน “ ปรอท ” ใครก็จับไม่ได้ และ “ ปรอท ” จะเป็นตัวแก้เคล็ด อะไรได้หลายอย่าง รวมทั้งคุณไสย และโรคภัยไข้เจ็บ อย่างไข้ป่าก็ต้องแพ้พวก “ ปรอท ” แบบนี้ทั้งหมด

* “ เบี้ยแก้ ” จำเป็นไหมต้องปลุกเสกไหมครับ ?
- เป็นความเชื่อของคนโบราณ ที่ไม่ต้องมีการปลุกเสกก็ได้ แต่ของอาตมาจะปลุกเสกให้ทุกตัว ประกอบด้วยคาถา บารมี 10 ทัศน์ มีการใช้คาถาหลายอย่าง การปลุกเสก “ เบี้ยแก้ ” ต้องทำทีละตัว เขียนอักขระตัวหนึ่งก็ต้องว่าคาถาไปเรื่อย เวลากรอก “ ปรอท ” ก็ต้องว่าคาถา เมื่อหุ้มตะกั่วแล้วก็ต้องมาลงเหล็กจารตัวอักขระบนตะกั่ว และอาตมาต้องทำทุกวัน กว่าจะได้นอนก็ประมาณตี 2 ตี 3 เพราะช่วงนี้มีคนนิยมมาเช่าบูชา “ เบี้ยแก้ ” ที่นี่เป็นประจำ
สมัยก่อนอาตมาต้องถักด้ายหุ้ม “ เบี้ยแก้ ” ด้วยตัวเอง วันหนึ่งๆก็ถักได้ไม่กี่ตัว เพราะใช้เวลามาก ตอนหลังได้สอนให้ชาวบ้านหัดถัก จนเป็นกันหลายคนก็จ้างให้ชาวบ้านช่วยถักให้ คนไหนถักเก่งๆจะได้ 5-6 ตัวต่อวัน จึงสามารถทำ เบี้ยแก้ ได้ประมาณวันละ 20-30 ตัว แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของญาติโยม ซึ่งพากันมาเช่าบูชา “ เบี้ยแก้ ” วันละมากมาย มาจากที่ไกลๆก็มี...ไม่รู้เป็นอะไรอาตมายิ่งแก่ยิ่งต้องทำงานหนักมากขึ้น

* “ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่จำเป็นต้องถักด้ายทุกตัวหรือไม่ครับ ?
- ถ้า “ เบี้ยแก้ ” ตัวไหนไม่มีด้ายถักหุ้มไว้ด้วย ความแข็งแรงคงทนก็จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะการถักด้ายจะมีการลงรักด้วย ทำให้ด้ายแข็งแรงคงทน และสามารถติด “ หู ” ไว้สำหรับแขวนติดตัวได้ด้วยไม่งั้นจะพกพาลำบาก แต่ปัจจุบันก็คงไม่มีปัญหาเพราะสามารถเอาไปเลี่ยมทั้งตัวได้เลย หลายปีก่อนตอนที่อาตมาถักด้ายหุ้มเอง ทำให้ไม่ทัน บางคนก็เอาไปทั้งๆที่ไม่มีด้ายถักไว้ก็มี

* หลวงปู่จ้างชาวบ้านถัก“ เบี้ยแก้ ” ตัวหนึ่งให้ค่าจ้างอย่างไรครับ ?
- ให้ตัวละ 50 บาท แต่กว่าจะถักตัวหนึ่งใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ซึ่งก็ดี เป็นการช่วยให้ชาวบ้านได้มีงานทำไปในตัว

* เวลาที่หลวงปู่กรอก “ ปรอท ” ลงในตัว “ หอยเบี้ย ” มีการป้องกันอันตรายอันตรายอะไรบ้างไหมครับ ?
- ไม่ได้ป้องกันอะไร เพราะทำมาไม่เห็นมีอันตรายอะไรเลย ซึ่งที่ผ่านมาหลวงปู่เพิ่มก็ทำมาจนอายู 98 ปีได้มรณภาพไป ก็ไม่เคยเห็นมีอันตรายอะไร

* “ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่มีคุณวิเศษอย่างไรบ้างครับ ?
- ตามตำราสามารถกันในเรื่องของคุณไสย ไข้ป่า ผีสางนางไม้ รวมทั้งสัตว์ร้าย ไม่ต้องกลัว คนโบราณเชื่อว่า “ เบี้ยแก้ ” สามารถป้องกันคุณไสยและสิ่งเลวร้ายต่างๆได้

* “ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่แตกต่างจาก “ เบี้ยแก้ ” วัดอื่นๆอย่างไรครับ ?
- มีความแตกต่างกันมาก บางสำนักเพิ่งเกิดขึ้นมาประมาณ 3-4 ปีมานี้เอง แต่สูตรของอาตมา ทำกันมาเป็นเวลา 100 ปีแล้ว และสาเหตุที่ไปช่วยหลวงปู่เพิ่มทำเบี้ยแก้นั้น เพราะพระสงฆ์ใหม่ๆไม่มีใครสนใจที่จะทำเลย พออาตมาเริ่มช่วยหลวงปู่เพิ่มทำ “ เบี้ยแก้ ” ก็เริ่มมีคนมาให้ทำกันมากมาย อาตมาเป็นลูกมือให้กับหลวงปู่เพิ่ม มาประมาณกว่า 40 ปี และมาทำเองจริงๆแบบครบวงจรอีกสิบกว่าปีเช่นกัน รวมแล้วก็ 50 ปีที่อาตมาได้ทำ “ เบี้ยแก้ ” มาจนถึงปัจจุบัน

* ทำไม เบี้ยแก้หลวงปู่เจือ ของหลวงปู่ถึงได้มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศครับ ?
- อันนี้อาตมา ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อาจเป็นเพราะ ผู้ที่นำเอาไปใช้แล้ว มีประสบการเหลือเชื่อในเรื่องต่างๆ แคล้วคลาดจากอันตราย หรือบางคนปวดหลัง ปวดแขน เมื่อมีการคลึงๆไปมาด้วย “ เบี้ยแก้ ” อาการที่ว่าก็หายไป มีบางคนเขาก็บอกว่า “ เบี้ยแก้ ” ของอาตมาช่วยแก้รถเสียให้วิ่งไปถึงบ้านได้ด้วย (หัวเราะ ) หลังจากนั้นเมื่อมีคนนำไปใช้แล้วดีจึงได้บอกกันต่อๆ

* ก่อนจะแขวน “ เบี้ยแก้ ” ติดตัวจะต้องมีคาถาสวดอะไรหรือเปล่าครับหลวงปู่ ?
- ไม่ต้องมีก็ได้ หรือ คาถาบูชาเบี้ยแก้ ถ้าจะอาราธนาก็ให้ตั้งนะโม 3 จบ ต่อด้วย อิติปิโส ภะคะวา ยาตรายามดี ได้ยามพระศรี สวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ จากนั้นก็ให้ว่าส่วนของคาถาหัวใจต่อ อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ พุทธะสังมิ อิสวาสุ

* ถ้านำ “ เบี้ยแก้ ” ไปลอดราวผ้าถุง รอดสะพานแล้วจะเสื่อมไหมครับ ?
- ไม่เสื่อม...! ของดีย่อมเป็นของดีอยู่วันยันค่ำ “ เบี้ยแก้ ” เปรียบเสมือน “ ทอง ” อยู่ที่ไหนอยู่กับใครก็ยังเป็น “ ทอง ” อยู่เสมอ เป็นคำสอนของหลวงปู่เพิ่ม เคยสอนไว้ ส่วนผู้ที่บอกว่า รอดราวตากผ้า แล้วไม่ดีนั้น อันนั้นเป็นความเชื่อของคนสมัยโบราณ สมัยนี้ความเชื่อของคนเราได้พัฒนาไปมากแล้ว

* หลวงปู่ทำ “ เบี้ยแก้ ” ทุกวันไม่รู้สึกเบื่อหรือครับ ?
- ไม่เบื่อ เพราะเมื่อมีคนนำไปใช้แล้วบอกว่าดี อาตมาก็มีกำลังใจที่จะทำต่อไป เพื่อเป็นการช่วยเหลือญาติโยมด้วย ถ้าหากไม่มีใครบอกว่าดี อาตมาก็คงเลิกทำไปนานแล้ว

* ถ้า “ เบี้ยแก้ ” แตกออกจากกัน ความขลังจะเสื่อมไหมครับ ?
- มันก็คงจะเสื่อมไปบ้าง ถ้า “ ปรอท ” ได้ออกไปแล้ว หรือ “ ชันโรง ” บางส่วนอาจละลายไปเมื่อถูกความร้อน ก็คงใช้ได้แม้จะไม่เต็มบริบูรณ์

* ทำไม “ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่จึงมีด้ายถักหลายหลากสี ?
- ความจริงเรื่องของ “ ด้ายถักเบี้ยแก้ ” เป็นสิ่งประกอบภายหลัง เพื่อให้ตัว “ เบี้ยแก้ ” มีความมั่นคงแข็งแรงเท่านั้น จะใช้ด้ายสีอะไรก็ได้ สมัยก่อนใช้ด้ายสีขาวก็เพราะหาง่าย และการลงรักก็เพื่อให้แข็งแรงยิ่งๆขึ้น แต่สำหรับของอาตมา ในช่วงหลังมานี้ใช้ด้ายหลากสีก็เพื่อความสวยงามเท่านั้น ใครชอบสีอะไรก็เลือกได้ตามชอบใจ แต่ก็มีพุทธคุณเหมือนกัน

* หลายคนบอกว่า “ เบี้ยแก้ ” รุ่นเก่าจะดีกว่ารุ่นใหม่ หลวงปู่ว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่ครับ ?
- เหมือนกันจะนานเก่าแค่ไหนก็ดีเหมือนกัน เพราะสูตรที่ทำมีความเป็นหนึ่งเดียวเหมือนกัน ความขลังก็ยังคงขลัง โดยไม่มีความแตกต่าง เบี้ยแก้เก่าๆปรอทอาจจะไหลออกมา อักขระอาจจะเลือนไปบ้าง เมื่อขาดอย่างใดอย่างหนึ่งความขลังอาจจะน้อยลงก็ได้

ส่วนในเรื่องราคานั้นของเก่ามีน้อย หายากราคาย่อมแพงกว่า และผู้ขายเองก็ต้องการกำไรมากๆคงไม่มีใครขายของในราคาต้นทุนหรอก

* “ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่จะใช้ได้ดีตอนไหนครับ ?
- ตอนไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ติดอยู่กับตัวก็ได้ ติดบ้านติดรถก็ได้ จะแคล้วคลาดปลอดภัยเสมอ และไปไหนมาไหนก็ใช้ได้ดีเหมือนกัน และไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ใช้ได้ ขนาดมีผู้หญิงบางคนขับรถชนกัน ยังไม่มีเรื่องราวอะไร สามารถตกลงกันได้ด้วยดี...เพราะ “ เบี้ยแก้ ” มีอานุภาพทางเมตตามหานิยมเหมือนกัน

* นอกจาก “ เบี้ยแก้ ” แล้วหลวงปู่ทำวัตถุมงคลอะไรอีกบ้างครับ ?
- ตะกรุด ก็เคยทำ แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากต้องใช้เวลาเพื่อจารอักขระในแผ่นทองเพื่อทำ ตะกรุด ทุกดอก ซึ่งใจจริงอาตมาก็ยังอยากทำ แต่อาตมาทำ “ เบี้ยแก้ ” อย่างเดียวก็หมดเวลาแล้ว ตอนนี้คนนิยม “ เบี้ยแก้ ” กันมาก อาจเป็นเพราะว่าทุกวันนี้ไม่มีใครทำ “ เบี้ยแก้ ” ก็ได้ จึงมาเอากันแต่ที่นี่ อีกอย่างตอนนี้สุขภาพของอาตมา ตอนนี้ไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ทำอะไรมากๆก็ไม่ค่อยได้

* คาถาที่ใช้ในการปลุกเสก “ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่มีอะไรบ้างครับ ?
- คาถาที่ใช้ในการทำ “ ตะกรุด ” ของอาตมามีอยู่ประมาร 4-5 อย่าง เช่นคาถา 7 ตำนาน หัวใจธรณี เช่นเดียวกับการทำ “ เบี้ยแก้ ”

* หลวงปู่มีความเชื่อ เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในโลกนี้มีจริงไหมครับ ?
- อาตมาว่ามีอยู่จริงนะ เพียงแต่เรามองกันไม่เห็น บางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็ช่วยให้แคล้วคลาดได้ เพราะสิ่งเกิดขึ้นไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อให้เห็น โดยมีปฏิกิริยา ตอบสนอง ที่คอยเตือนให้ระวังตัวก็มี ซึ่ง “ เบี้ยแก้ ” เองก็เป็นกึ่งเครื่องรางที่มีความศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครอง ผู้ที่มีติดตัวไว้เช่นเดียวกับวัตถุมงคลที่เป็นพระเครื่องต่างๆนั่นเอง

* เมื่อ “ เบี้ยแก้ ” เป็นกึ่งเครื่องรางของขลัง หลวงปู่คิดอย่างไร ที่ยังมีบางคน บอกว่าเป็น “ สิ่งงมงาย ”...ครับ ?
- ใครจะบอกว่า “ งมงาย ” ก็เป็นเรื่องของเขา มันต่างทัศนะกัน ต่างความคิดเห็นกัน ซึ่งทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะคิดเห็นอย่างไร เชื่ออะไรก็ได้ แต่คำพูดที่ว่า “ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ” ก็ยังใช้ได้อยู่ การมีของดีติดตัวย่อมอุ่นใจกว่าการไม่มีของดีติดตัวเลย... ของพวกนี้เป็นของดีและมีอยู่จริงไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีผู้ที่ยึดถือหรือแขวนไว้ติดตัวมาแต่โบราณกาล ก่อให้เกิดความศรัทธา และเป็นความเชื่อ ทำให้จิตใจมุ่งมั่นและมั่นคงไม่ว่าจะทำอะไร ส่วนคนที่มีจิตใจลังเล ไม่มั่นคง เมื่อมีสิ่งเหล่านี้ติดตัว ของที่มีอยู่ก็ใช้ไม่ได้ผล ที่ผ่านมาบางคนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลยังพก“ เบี้ยแก้ ” ติดตัวเลย

* ทำไมเขาถึงพก “ เบี้ยแก้ ” ติดตัว ได้ผลอย่างไรหรือครับ ?
- อาตมาไม่ทราบว่าได้ผลแค่ไหน แต่คนที่นำเอาไปขึ้นศาลเขาบอกเพียงว่าได้ผล และหลายคนที่มาหา เขายังบอกอาตมาว่า นอกจากกันแมลงและสัตว์ร้ายแล้ว “ เบี้ยแก้ ” ยังช่วยให้เรื่องคอขาดบาดตายกลับกลายเป็นเรื่องดี ไม่เป็นอะไรเลย ใช้ “ เบี้ยแก้ ” แก้เคล็ดวิชาต่างๆในทางไม่ดีให้ดีขึ้นได้ ซึ่งเรื่องนี้มีผู้นำไปใช้แล้วได้ผลดี

********************************

หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว

ประวัติหลวงปู่เจือ ปิยสีโล วัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ชื่อเดิม เจือ เนตรประไพ เกิดวันที่ 14 พฤษภาคม 2468 ที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม บิดาชื่อ แพ มารดาชื่อ บู อาชีพ ทำสวนทำนา มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 พ.ศ. 2494 ได้อุปสมบทที่วัดกลางบางแก้ว โดยมีหลวงปู่เพิ่ม เป็นพระอุปัชฌาย์ วันที่ 7 ธันวาคม 2497 หลวงปู่เจืออายุ 30 ปี พรรษา 4 ได้รับการแต่งตั้งเป็น พระครูปริยัติธรรม ประจำสำนักวัดกลางบางแก้ว 30 มีนาคม 2504 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมนักธรรมเอก หลังจากที่ได้ใส่ใจในพระพุทธศาสนา จึงได้แต่งตั้งเป็น พระสมุห์เจือ ปิยสีโล 1 มีนาคม 2528 อายุ 61 ปี ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว

ข้อมูลจาก
http://www.tumsrivichai.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น