ทุกท่าน สามารถ ติดต่อ เช่า-บูชาพระ ได้ที่ Line , Facebook

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

ประวัติ หลวงปุ่เอี่ยม วัดหนัง ( เจ้าคุณเฒ่า )

ประวัติ หลวงปุ่เอี่ยม วัดหนัง ( เจ้าคุณเฒ่า )
หลวงปู่เอี่ยม สุวณฺณสโร (พระภาวนาโกศลเถระ) วัดหนัง
พระภาวนาโกศลเถร
(เอี่ยม สุวณฺณสโร)
เจ้าอาวาสรูปที่ ๕
ข้อมูลจาก
https://www.web-pra.com/
       พระภาวนาโกศลเถระ เดิมชื่อเอี่ยม เป็นชาวบางขุนเทียนโดยกำเนิด บ้านอยู่ริมคลองบางหว้า หลังวัดหนัง  กำเนิดเมื่อวันศุกร์ เดือน ๑๑ ขึ้น ๘ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๔๙ ปีมะโรง จัตวาศก ตรงกับวันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๗๕ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และมีนามสกุลว่า “ทองอู๋” ชาวบ้านบางขุนเทียนเรียกกันว่า “หลวงพ่อปู่เฒ่า” ส่วนบุคคลทั่วๆ ไป และนักสะสมพระเครื่องทั้งหลาย เรียกว่า “หลวงพ่อวัดหนัง” โยมบิดามารดามีชื่อว่า นายทอง และนางอู่ ซึ่งเป็นต้นตระกูล “ทองอู๋” ในขณะนี้ โยมทั้งสองท่าน ประกอบอาชีพเป็นชาวสวนและมีฐานะมั่นคง เมื่อได้มีการตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุลขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ บุคคลชั้นหลังของตระกูลนี้ขอใช้นามสกุลว่า “ทองอู่” อันเป็นนามรวมของโยมทั้ง ๒ แต่ต่อมาไม่นานนัก ก็ได้มีเจ้านายพระองค์หนึ่ง ทักท้วงว่าไปพ้องกับพระนามของเจ้าต่างกรมพระองค์เข้า จึงต้องเปลี่ยนมาเป็น “ทองอู๋” สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้

       เครือญาติพี่น้องร่วมท้องเดียวกับพระภาวนาโกศลเถระ มีอยู่ด้วยกัน ๓ คนคือ โยมพี่สาวชื่อ นางเปี่ยม ทองอู๋ เป็นผู้รักษาศีลอุโบสถและไม่ได้แต่งงานมีครอบครัว ดังนั้นเมื่อสิ้นโยมบิดามารดาแล้ว จึงมาฝากไว้ในความอุปการะของนายทรัพย์ ทองอู๋ บิดาของนายพูน ทองพูนกิจ ผู้เป็นบุตรผู้พี่ของพระภาวนาโกศลเถระ คือนายเอม  ทองอู๋ พระภาวนาโกศลเถร (เอี่ยม สุวณฺณสโร)    
 
การศึกษา
       การศึกษาอักขร สมัยเมื่อพระภาวนาโกศลเถระ ยังเด็กอายุ ๙ ปี โยมทั้ง ๒ ของท่านได้นำมาฝาก เรียนหนังสือ ในสำนักพระครูธรรมถิดาญาณ หรือหลวงปู่รอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหนัง ราชวรวิหาร ในปี พ.ศ. ๒๓๘๗ ในสมัยต่อมา ได้เป็นพระอาจารย์ วิทยาคม ของพระภาวนาโกศลเถระ (เอี่ยม) การศึกษาพระบาลีปริยัติธรรม เมื่ออายุได้ ๑๑ ปี ท่านได้ศึกษาพระบาลีปริยัติธรรม ในสำนักพระมหายิ้ม วัดบวรนิเวศวิหาร ต่อจากนั้น ได้ไปอยู่ในสำนัก พระปิฎกโกศล (ฉิม) วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ)

บรรพชา
       ต่อมาท่านได้กลับมาบรรพชาเป็นสามเณร และศึกษาพระปริยัติธรรมต่อที่วัดหนัง ราชวรวิหาร สำนักเดิม ของท่าน อีกวาระหนึ่ง การศึกษาในระยะนี้ ดำเนินมาหลายปี ติดต่อกันจนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๓๙๔  เมื่อท่าน อายุได้ ๑๙ ปี จึงได้เข้าสอบ แปลพระปริยัติธรรมสนามหลวง ซึ่งสมัยนั้น ต้องเข้าสอบแปลปากเปล่า ต่อหน้าพระพักตร์ ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
      แต่น่าเสียดายที่ท่านสอบพลาดไป เลยลาสิกขาบท กลับไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพอยู่ระยะหนึ่ง

อุปสมบท
       อาจจะเป็นด้วยบุญกุศลที่จะต้องเป็นสมณะเพศเพื่อพระศาสนา เพื่อการฟื้นฟูปฏิสังขรณ์สังฆาวาส เสนาสนะ แห่งวัดนี้ ให้ฟื้นฟูคืนจากสภาพอันเสื่อมโทรมขึ้นสู่ยุคอันรุ่งเรืองสูงสุด ในกาลสมัยต่อมา หรือเพื่อความเป็น พระเกจิอาจารย์ ชั้นเยี่ยมแห่งองค์พระกษัตราธิราชเจ้า และเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลาย ท่านจึง หันกลับเข้ามาสู่ร่มเงาแห่งกาสาวพัสตร์อีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้จากไปเพียง ๓ ปีเท่านั้น ในปี พ.ศ. ๒๓๙๗ เมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ท่านได้เข้ามาอุปสมบท ตามขนบจารีตอันดั้งเดิมของชาวไทย เพื่อสืบต่อพระบวรพุทธศาสนา และเพื่อแสดง กตเวทิตธรรม แด่โยมผู้บุพการีทั้งสอง ซึ่งได้ทำการอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดราชโอรสาราม (วัดจอมทอง)
อ.บางขุนเทียน จ.ธนบุรี (เขตจอมทอง กรุงเทพฯในปัจจุบัน)
       พระอุปัชฌาย์ได้ขนานนามว่า “สุวณฺณสโร”
       พระสุธรรมเทพเถระ (เกิด) เป็นพระอุปัชฌาย์
       พระธรรมเจดีย์ (จีน) กับพระภาวนาโกศลเถระ (รอด) เป็นคู่กรรมวาจาจารย์

       เมื่ออุปสมบทแล้วหลวงปู่เฒ่าได้ไปอยู่วัดนางนอง ตรงข้ามกับวัดหนังและได้เริ่มลงมือศึกษาคันถธุระต่อไป ณ สำนัก พระธรรมเจดีย์ (จีน) และพระสังวรวิมล (เหม็น) ด้วยความวิริยะอุตสาหะ ได้เข้าสอบแปลพระปริยัติธรรม สนามหลวงอีกครั้ง แต่คงสอบไม่ได้อีกเช่นเคย เรื่องนี้ท่านต้องนั่งคุกเข่าประนมมือตลอดเวลา ที่แปลต่อหน้าพระคณาจารย์ผู้ใหญ่ พระมหาเถระผู้เป็นกรรมการองค์หนึ่งบอกกับท่านเมื่อแปลจบว่าแปลได้ดี แล้วก็ชวนท่านให้ไปอยู่ในสำนักเดียวกัน แต่ท่านปฏิเสธ

หลวงปู่เอี่ยม สุวณฺณสโร (พระภาวนาโกศลเถระ) วัดหนัง
การศึกษาวิปัสสนาธุระและพุทธาคม
       ปรากฏตามหลักฐานชัดเจนว่าท่านได้ศึกษาวิปัสสนาธุระ และพุทธาคม กับพระภาวนาโกศลเถระ (รอด) เจ้าอาวาสวัดนางนอง ซึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของท่านเอง จากการศึกษา ชีวประวัติของท่าน จะเห็นได้ว่า ท่านเจริญรอยตามพระอาจารย์รูปนี้มาโดยตลอด เช่นเดียวกับ พระพุฒาจารย์ (โต) เจริญรอยตามสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ผู้สร้างพระสมเด็จ “อรหัง” และพระสมเด็จฯ วัดพลับ เช่นในการที่ท่าน ได้สร้างพระปิดตา และพระปิดทวาร ฯลฯ ขึ้น ก็ถอดลักษณะมาจากพระเครื่องทั้ง ๒ ชนิดของหลวงปู่รอด และในสมัยที่พระภาวนาโกศลเถระ (รอด) ถูกราชภัยถูกถอดสมณศักดิ์ลงเป็นขรัวตาธรรมดา ในกรณีที่ ไม่ยอมถวายอดิเรกแด่รัชการที่ ๔ คราวเสด็จพระราชทานผู้พระกฐินที่วัดนางนอง และถูกย้ายไปครองวัดโคนอน ในขณะนั้นท่านบวชได้ ๑๖ พรรษา เป็นพระปลัดฐานานุกรมของพระภาวนาโกศลเถระ (รอด) และฐานะศิษย์ใกล้ชิด ก็ได้ย้ายจากวัดนางนองติดตามไปปรนนิบัติอาจารย์ของท่าน ณ สำนักใหม่อย่างไม่ลดละ แสดงถึงน้ำใจอันประเสริฐ ของท่านที่ไม่ยอมพรากเอาตัวออกห่าง นับว่าจัดเป็นคุณธรรมที่ปรากฏเล่าขานสรรเสริญกันมาจนทุกวันนี้

       “พระครูธรรมถิดา” (รอด)  เป็นบุตรใครไม่ทราบ ภูมิลำเนาเดิมอยู่คลองขวาง  ตำบลคุ้งเผาถ่าน  อำเภอบางขุนเทียน  จังหวัดธนบุรี  เป็นฐานานุกรมใน  พระนิโรธรังสี  พระราชาคณะ  เจ้าอาวาสองค์แรก (ของวัดหนัง)  เป็นผู้เชี่ยวชาญในฝ่ายวิปัสสนาธุระที่สำคัญรูปหนึ่ง  เมื่ออยู่วัดหนัง อยู่คณะสระ  พระนิโรธรังสีมรณภาพแล้ว  ได้รักษาวัดอยู่คราวหนึ่ง  ภายหลังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดนางนองและพระราชทานสมณศักดิ์เป็น  ที่พระภาวนาโกศล  ในรัชกาลที่ ๔    เสด็จพระราชทานผ้าพระกฐินวัดนางนอง  เล่ากันว่า  ท่านไม่ถวายอดิเรกนับเป็นความผิด ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ  ทางราชการถอดออกจาก สมณศักดิ์  ท่านจึงไปอยู่วัดโคนอนซึ่งอยู่ในคลองขวาง  ฝั่งตะวันตก  ต.บางหว้า  อ.ภาษีเจริญ  จ.ธนบุรี  และมรณภาพที่วัดนี้  หลวงปู่รอดองค์นี้เป็นผู้สร้างวัดอ่างแก้ว  ในวันที่เกิดเหตุนั้น  หลวงปู่เฒ่าก็อยู่ในที่นั้นด้วยสมัยที่ยังเป็นพระปลัดได้เตือนให้พระภาวนา โกศลเถระ (รอด) ถวายอดิเรก  แต่ท่านยังเฉยเสียพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกริ้วมาก  เสด็จออกมานอกพระอุโบสถ  แล้วตรัสด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า  “เขาถอดยศเรา” เกล่ากันว่าสาเหตุที่ไม่ยอมถวายอดิเรกนั้น เนื่องด้วยท่านไม่สบอารามณ์ในเรื่องการแบ่งแยกนิกาย ธรรมยุตกับมหานิกาย  อันเป็นสาเหตุให้สงฆ์แตกแยกกัน
       ต่อมาหลังจากพระภาวนาโกศลเถระ (รอด)  ถูกเรียกพัดยศคืนไม่นานนัก  วันหนึ่งสังฆการีก็ได้รับ พระบรมราชโองการให้นำพัดยศมาถวายคืนให้ท่าน  แต่ท่านไม่ยอมรับและพูดกับสังฆการีว่า  ใครเป็นผู้ถวายพัด แต่อาตมาและใครเล่าที่เอาคืนไป  บุรุษจงเอากลับไปเสียเถิด    วิทยาคุณของ พระภาวนาโกศลเถระ (รอด)  ที่จะบรรยายต่อไปนี้  คุณปู่ทรัพย์  ทองอู๋ได้เล่าให้ทายาทฟังต่อ ๆ กันมา  ซึ่งจะได้นำมาประมวลเข้าไว้ดังต่อไปนี้

การถอนคุณไสย์
       ในการออกเดินธุดงค์คราวหนึ่งของหลวงปู่รอด  ท่านได้ไปถึงชนบทแห่งหนึ่ง  แถว ๆ ทุ่งสมรหนองขาวเขตติดต่อระหว่างกาญจนบุรีกับราชบุรี  คืนวันหนึ่งขณะที่ท่านอยู่ในกลด  มีพายุอื้ออึง และมีเสียงต้นไม้ต่าง ๆ ดังลั่นและหักโค่น  ดังกึกก้องไปหมด  ท่านจึงสมาธิเจริญพุทธาคม สงบนิ่งอยู่  พระที่ติดตาม ท่านเดินธุดงค์ได้ยินเสียงวัตถุหนัก ๆ  ปลิวมาตกอยู่รอบบริเวณที่ปักกลด เสียงดังตุบ  เช้าขึ้นพอเปิดกลดออกมา ก็เห็นท่อนกระดูกตกเรี่ยราดอยู่รอบบริเวณนั้น      พอสักครู่หนึ่งก็มีชาวบ้านกระเหรี่ยง ๒-๓ คนเดินตรงเข้ามา  บางคนก็ถือจอบและเสียมมาด้วย  เมื่อได้สอบถามจึงได้ความว่าเขาเตรียมฝังศพพระธุดงค์ ซึ่งคาดว่า จะต้องถูกคุณไสย์มรณภาพ  เมื่อคืนนี้ ครั้นเมื่อเห็นว่าหลวงปู่รอด และพระผู้ติดตามยังปกติดีอยู่ พวกกระเหรี่ยง จึงพากันกลับไป  แต่พอไม่ทันไรก็พากันมาอีก  ในตอนนี้นำเอาอาหารมาถวายด้วย หลวงปู่รอดบอกพระผู้ติดตาม ว่าอย่าได้ฉันอะไรเป็นอันขาด  พอรับประเคนอาหารแล้วก็เรียก ให้พระผู้ติดตามเอาหม้อกรองน้ำ ของพระธุดงค์ มาให้แล้ว  หลวงปู่รอดก็บริกรรม  ทำประสะน้ำมนต์พรมอาหารนั้น

       ปรากฎว่าข้าวสุกที่อยู่ในกระด้ง ก็กลายเป็นหนามเล็ก ๆ  เต็มไปหมด  กับข้าวต่าง ๆ  ในกลามะพร้าว ก็กลายเป็นกระดูกชิ้นน้อย หลวงปู่รอด เอามือกวาดกระดูกและหนามเหล่านั้นไว้ แล้วคืนภาชนะที่ใส่มา ให้กับพวกนั้นไป พวกกระเหรี่ยงพยายาม จะขอคืนไปท่านไม่ยอมให้ ตกกลางคืนหลวงปู่รอดบอกกับพระลูกศิษย์ว่า ท่านจะปล่อยของเหล่านี้กลับไปเล่นงาน เจ้าพวกนี้บ้าง เพียงสั่งสอน ให้รู้สึกสำนึกเท่านั้น พอรุ่งเช้าพวกกระเหรี่ยง ก็รีบมาหาหลวงปู่รอดแต่เช้ามืด คราวนี้ หามคนป่วยมาด้วยคนหนึ่ง ล่าวคำขอขมา และขอร้องให้ท่านว่าช่วยรักษา ลักษณะคนป่วยร่างกายบวม ไปทั้งตัวเหมือนศพที่กำลังขึ้น หลวงปู่รอดหัวเราะแล้วถามว่าเป็นอะไรบ้าง คนป่วยได้แต่นอนอยู่ตลอดเวลา ได้แต่กรอกหน้าและยกมือขึ้นพนม หลวงปู่รอดจึงเอาน้ำมนต์ ในหม้อกรองน้ำ (ลักจั่น) พรมลงไปตามร่างคนป่วย เพียงครู่เดียวนั้นเองร่างกายที่บวม ก็ค่อยยุบเป็นอัศจรรย์ ทุกคนก็กราบหลวงปู่ด้วยความยำเกรง แล้วบอกว่าจะนำอาหารมาถวาย แต่ท่านบอกว่าจะ ถอนกลด แล้วเดินธุดงค์ต่อไปหลังจากได้ปักกลดอยู่ ๒ คืนแล้ว

เดินบนใบบัว
       การเดินทางบนใบบัว เรื่องนี้เนื่องมาจากเดินธุดงค์ในสมัยที่หลวงปู่เฒ่าเป็นเณรอยู่ ได้เล่ากันต่อๆ มาว่าในครั้นนั้น พระภานาโกศลเถร (รอด) ได้เดินธุดงค์โดยมีสามเณรร่วมไปด้วย ถึงห้วยกระบอก หรือห้วยกลด แขวง จ.กาญจนบุรี กล่าวกันว่ามีกลดพระธุดงค์ร้างปักอยู่มาก เนื่องจากหนีสัตว์ป่าไปเสีย ข้างหน้าภูมิประเทศเป็นบึงใหญ่ขวางหน้าอยู่ ส่วนทั้งข้างเป็นภูเขาสูงชันมาก ยากแก่การปีนข้าม หลวงปู่รอดบอกกับสามเณรว่า เมื่อท่านเดินก้าวลงใบบัว ในหนองน้ำนั้นชึ่งเป็นพืดติดต่อกันไป ถึงฝั่งตรงข้ามให้เณรคอยก้าวตาม เหยียบทับรอยเท้า ของท่าน บนใบบัวแต่ละใบอย่าให้พลาดได้
       ท่านจึงบอกคาถาให้บริกรรมขณะที่จะก้าวเดินแล้วท่านก็เจริญอาโปกสิณอยู่ครู่ งหนึ่ง ท่านก็ได้ก้าวเดิน บนใบบัว ทีละก้าว ส่วนสามเณรก็ก้าวตามไป พร้อมด้วยบริกรรมคาถา ผ่านท้องน้ำอันเวิ้งว้าง ไปโดยตลอด   ส่วนสามเณรเห็นว่า ใบบัวก้าวสุดท้ายของหลวงปู่รอด ก่อนที่ท่านจะก้าวขึ้นฝั่งนั้น เป็นใบบัวที่เล็กมากและอยู่เกือบชิดตลิ่งแล้ว จึงไม่ เหยียบ ตามหลวงปู่ไปจะสืบเท้าก้าวขึ้นฝั่งเลยที่เดียว แต่ไม่สำเร็จ เพราะใบบัวที่เท้าหลังเหยียบอยู่ ยุบตัวลงเสียก่อน เณรจึงตกลงไปในน้ำ หลวงปู่รอดหันมาดูได้แต่หัวเราะและกล่าวขึ้น ว่าบอกให้เดินตาม ทุกก้าวไปก็ไม่ยอมเดิน ถ้าเป็นกลางบึงคงสนุกใหญ่

การสะกดจิต
       คุณปู่ทรัพย์ ทองอู๋ บิดาของคุณพ่อพูน  ท่องพูนกิจ ได้เล่าเรื่องประหลาดกันต่อๆ มาว่า
ได้มีคนร้ายขโมยเรือ ของหลวงปู่รอดที่จอดไว้ลำคูริมคลองขวางไป แต่ไม่สามารถจะพายไปได้ คงเวียนอยู่หน้าวัดโคนอนหน้ากุฎิของท่าน จนเช้าพระลูกวัดรูปหนึ่ง จะเอาเรือออกบิณฑบาต ครั้นไม่เห็นเรืออยู่แต่กลับเห็น ชายแปลกหน้า คนนั้นกำลังพายเรือวนเวียนอยู่ จำได้ว่าเป็นเรือของหลวงปู่รอดจึงได้นำเรื่องไปเรียนให้ท่านทราบ หลวงปู่รอดจึงลงมาที่ท่าน้ำขณะนั้น ได้มีชาวบ้านใกล้เคียงมาดูกันอยู่เนืองแน่น ท่านจึงตะโกนบอกไปว่า “เจ้าจงเอาเรือมาคืนพระเสีย  ท่านจะเอาไปบิณฑบาต” คนร้ายก็พายเรือมาจอดให้พระท่านแต่โดยดี แล้วก็สั่งต่อไป ว่า
“ ขึ้นมาบนกุฎิเสียก่อน”  คนร้ายก็ขึ้นตามคำสั่ง ในที่สุดหลวงปู่รอดก็สั่งให้เด็กจัดเอาอาหารมา ให้รับประทาน แล้วก็สั่งต่อไปว่า จะกลับบ้านก็กลับเถิดคนร้ายจึงได้เดินลงจากกุฎิไป
หลวงปู่เอี่ยม สุวณฺณสโร (พระภาวนาโกศลเถระ) วัดหนังสมณศักดิ์
       พระใบฎีกา และพระปลัด ขณะอยู่ที่วัดนางนอง ฐานานุกรมในพระภาวนาโกศลเถระ (รอด) จนย้ายไปอยู่วัดโคนอน

       พระครูศีลคุณธราจารย์ ในระหว่างอยู่วัดโคนอนเมื่อหลวงปู่รอดเจ้าอาวาส (อดีตพระภาวนาโกศลเถระ) ถึงแก่มรณภาพ ท่าก็ได้ครองวัดเป็นเจ้าอาวาสสืบแทน จนในปี พ.ศ. ๒๔๔๑  ในแผ่นดินของ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้รับพระกรุณาโปรดพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่พระครูศีลคุณธราจารย์ แล้วให้อาราธนามาอยู่วัดหนัง สาเหตุที่ย้ายมาอยู่วัดหนัง ก็เนื่องมาจาก กรมพระจักรพรรดิพงษ์เสด็จพระราชทานผ้าพระกฐินหลวง ณ วัดหนัง ทางวัดไม่มีจำนวนสงฆ์ อันพึงรับผ้ากฐินได้ ต้องทรงเปลี่ยนเป็นพระราชทานผ้าป่าแทน ภาวะแห่งวัดทรุดโทรมถึงที่สุด เมื่อเสด็จกลับ จึงกราบทูล ภาวะแห่งวัด แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงให้กระทรวงทำการติดต่อ ทางสมเด็จ พระวันรัต (แดง) วัดสุทัศน์ เพื่อหาตัวเจ้าอาวาสใหม่ สมเด็จพระวันรัตเลือก ได้พระอธิการเอี่ยม เจ้าอาวาสวัดโคนอน จึงได้พระราชทานสมณศักดิ์ พระครูศีลคุณธราจารย์  อาราธนามาครองวัดหนัง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑
      พระภาวนาโกศลเถร (เอี่ยม) เมื่อหลวงปู่เฒ่าได้มาครองวัดปีหนึ่ง พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงพิจารณาปีพรรษามากแล้ว กอปรด้วยศีลาจริยาวัตรอันงดงาม สมบุรณ์ไม่ด่างพล้อย หาตำหนิมิได้ กลับเป็นที่เคารพสักการะแด่ชนทั้งหลายโดยทั่วไป ทั้งพระองค์ทรงเคารพ นับถือในส่วนพระองค์ เป็นกรณีพิเศษอีกด้วยสมควรจะได้เลื่อนสมณศักดิ์ในฐานะหลวงปู่เฒ่าเป็น พระราชาคณะผู้ใหญ่ จึงทรงพระกรุณาปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็นพระราชาคณะที่ “พระภาวนาโกศลเถระ” ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒

จริยาวัตร
      หลวง ปู่พระภาวนาโกศลเถระ (เอี่ยม) ปฏิบัติกิจวัตรเป็นประจำวันของท่านอย่างสม่ำเสมอเป็นปกติ เช่น การลงอุโบสถ แม้ฝนจะตกบ้างเล็กน้อยท่านก็เดินกางร่มไปซึ่งกุฏิของท่านอยู่ห่างประมาณ ๕๐ เมตร  ขณะนี้ได้รื้อปลูกใหม่เป็นหอภาวนาโกศลไว้ที่เดิม  น่าเสียดายควรจะได้ซ่อมแซมไว้เป็นที่ระลึก ให้กุลบุตรกุลธิดาไว้ศึกษาเป็นของเก่า  เช่น  กุฎีสมเด็จโตวัดระฆัง เป็นต้น  พระภาวนาโกศลเถระ (เอี่ยม)  ท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง  ทรงเคารพนับถือเป็นการส่วนพระองค์  ในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ในหลวงจะได้รับสั่งให้ขุนวินิจฉัยสังฆการีนิมนต์เข้าไปในงานพระราชพิธีต่าง ๆ อาทิ  ฉัตรมงคล  เฉลิมพระชนมพรรษา  เป็นต้น  โดยคุณพ่อพูน  ทองพูนกิจ  เป็นไวยาวัจกร  เมื่ออายุ  ๑๔ – ๑๕  ปี  ได้ติดตามเข้าไปในพระที่นั่งอมริทร์วินิจฉัย  ถ้าหากเป็นพระราชพิธีในตอนเช้า  หลวงปู่เฒ่าจะต้องไปค้างแรมที่วัดพระเชตุพนกับพระราชาคณะผู้ใหญ่รูปหนึ่งที่ ชอบพอกัน
     ในการ เดินทางไปสมัยนั้น  ต้องไปด้วยเรือแจวของหลวงประจำวัด  ถ้าไม่ค้างคืนก็จอดเรือขึ้นที่ตลาดท่าเตียน วัดโพธิ์  เดินไปพระราชวังเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีใกล้หน่อย  ถ้าไปค้างแรมต้องไปจอดที่ท่าราชวรดิษฐ์  ฝากทหารเรือให้ช่วยดูแลอีกทีหนึ่ง  คงจะสงสัยว่า  ไวยาวัจกรหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเด็กวัดนั้น  จะแต่งกายติดตามหลวงปู่เฒ่าเข้าไปในพระราชวังได้อย่างไร  คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า  ต้องแต่งตัวแบบประเพณีนิยม นุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนใส่เสื้อราชประแตนกระดุม  ๕  เม็ด  หลวงปู่เฒ่าท่านสั่งตัดและจัดหามาให้ใส่  ขณะเมื่อถึงแก่กรรมเสื้อตัวนี้ยังอยู่  เพราะตัดด้วยผ้าของนอกอย่างดีในสมัยนั้น  ยังมีเรื่องที่คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า  ขุนวินิจฉัยสังฆการีเคารพและนับถือหลวงปู่เฒ่ามาก  ถ้าไม่มีราชการก็จะมาเยี่ยมเยียนทุกข์สุข  มาครั้งใดเมื่อลากลับหลวงปู่เฒ่าจะให้ปัจจัยไปทุกครั้ง ๆ  ละ  ๑  บาท  เพราะท่านขุนผู้นี้ชอบเล่นหวย  ก.ข.  มาทีไรขอหวยกับหลวงปู่เฒ่าทุกที  แต่ท่านได้แต่หัวเราะแล้วเฉยเสีย
หลวงปู่เอี่ยม สุวณฺณสโร (พระภาวนาโกศลเถระ) วัดหนัง
พระปิดตาปิดทวารฯ "วัดหนัง" กรุงเทพมหานคร
"วัดโคนอน" ตั้งอยู่ ต.บางหว้า อ.ภาษีเจริญ กทม. ฝั่งธนบุรี พระอารามแห่งนี้ "หลวงปู่รอด" ผู้เป็นพระอาจารย์ผู้เลื่องชื่อในไสยเวทของ "หลวงปู่เอี่ยม" มาครองอยู่นับแต่ถูกถอดสมณะศักดิ์ จาก "พระภาวนาโกศลเถระ" (รอด) ให้เป็นพระธรรมดา และเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว หลวงปู่เอี่ยมซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิคนโปรดของท่าน ก็เป็นเจ้าอาวาส "วัดโคนอน" องค์ต่อมา โดยทั้งพระอาจารย์และศิษย์ต่างก็ได้สร้างวัตถุมงคลไว้ที่วัดนี้ ในลักษณะที่คล้ายๆ กันด้วย
"วัดหนังราชวรวิหาร" หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า "วัดหนัง" นี้เดิมเป็นวัดเก่าแก่มาแต่ครั้งสมัยอยุธยายุคปลาย ตั้งอยู่ในคลองด่านฝั่งเหนือ ต.บางค้อ อ.บางขุนเทียน กทม. ฝั่งธนบุรี ต่อมา พระอารามแห่งนี้ได้ถูกรื้อถอน แล้วเมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.3) พระองค์ก็ทรงโปรดให้ปฏิสังขรณ์เสียใหม่ แล้วยกให้เป็นพระอารามหลวงตั้งแต่นั้นมา จนถึงสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) พระองค์ก็ได้โปรดให้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นอีกครั้ง....ที่วัดหนังนี้เดิมหลวงปู่รอด ซึ่งเคยเป็นฐานานุกรมของเจ้าอาวาสวัดหนังองค์แรกมาก่อน แล้ว จึงย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดนางนอง และก็นี่เองหลวงปู่เอี่ยมซึ่งเคยเป็นเจ้าอาวาสที่วัดโคนอน ก็ได้ย้ายมาที่วัดหนังนี้อีกครั้งจนถึงมรณภาพเช่นกัน
ครับ, ที่ต้องนำประวัติของ "สองวัดและสองหลวงพ่อ" นี่ขึ้นมากล่าวไว้ก่อนเช่นนี้ ก็เพื่อชาวพระเครื่องชั้นหลังจะได้ไม่ต้องนั่งปวดหัว "เรื่องวัดกับพระเครื่อง" ซึ่งเดี๋ยวไปอยู่วัดโน้นและมาพบวัดนี้ ว่ากันให้วุ่นทั้งๆ ที่หลักฐานก็อ่อนเหลือเกิน สรุปแล้วถ้าพระเครื่องพิมพ์ใดผิดวัดไปบ้าง ก็ให้ถือเสียว่านั่นเป็นของแท้ที่หลวงปู่เอี่ยมแห่งวัดหนัง หรือวัดโคนอน ท่านสร้างไว้โดยไม่ใช่ของพระอาจารย์อื่นก็แล้วกัน สำหรับผู้เขียนก็เชื่อว่า พระเครื่องเพียง 25% เท่านั้น ที่หลวงปู่เอี่ยมสร้างเป็นประเดิมไว้ที่วัดโคนอน แต่อีก 75% เชื่อว่าได้สร้างไว้ที่วัดหนังเสียส่วนมาก เพราะหลวงปู่เอี่ยมท่านครองวัดหนังอยู่ถึง 27 ปี จึงมรณภาพ จึงมีเวลาเหลือเฟื่อสำหรับการสร้างพระพิมพ์เยี่ยมๆ และเหรียญซึ่งดังเกรียวกราวมากในขณะนี้ นับเป็นธรรมดาของผู้คงแก่เรียน ซึ่งอิ่มในวิททยาคมขลัง ท่านมักจะนิยมสร้างวัตถุกันไส้ในบั้นปลายชีวิตเสียเป็นส่วนมากด้วย....เอาละครับต่อไปนี้ขอนำท่านเข้าสู่ประวัติหลวงปู่แห่งวัดหนังโดยสังเขปต่อไปอีกครั้ง
"หลวงปู่เอี่ยม" หรือ "เจ้าคุณเฒ่า" หรือ "พระภาวนาโกศล" (เอี่ยม) ท่านเป็นชาวบางขุนเทียนมาแต่กำเนิ เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2375 (สมัย ร.3) เป็นบุตรของนายทองและนางอู่ เมื่อถึง พ.ศ. 2387 โยมทั้งสองได้นำท่านไปฝากเรียนอยู่ที่สำนักวัดหนัง จนถึง พ.ศ. 2397 ท่านจึงทำการอุปสมบท ณ ที่วัดราชโอรส ท่านเคร่งและศึกษาด้านปริยัติธรรมมาก และชั่วระยะหนึ่งท่านก็ย้ายไปอยู่ที่วัดนางนอง โดยได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับ "หลวงปู่รอด" ซึ่งกำลังเลื่องชื่อมากในด้านวิทยาอาคมขลัง หลวงปู่เอี่ยมได้หันมาสนใจในด้านไสยเวท จนถึงขนาดได้เป็นศิษย์เอกที่พระอาจารย์รักมาก ครั้นต่อมาในปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) "หลวงปู่รอด" ได้ถูกถอดจากสมณะศักดิ์เดิม ให้เป็นพระสงฆ์ธรรมดาๆ หลวงปู่รอดจึงได้ย้ายพระอารามไปครองอยู่ที่วัดโคนอน โดยมีเจ้าคุณเฒ่าตามไปรับใช้อยู่ที่วัดโคนอนด้วย ต่อมาไม่นานนักหลวงปู่รอดได้ถึงแก่มรณภาพ หลวงปู่เอี่ยมก็ได้ครองตำแหน่งเจ้าอาวาสปกครองวัดโคนอนสืบแทนพระอาจารย์ต่อไป
เมื่อถึง พ.ศ. 2441 ในหลวงรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าให้ "หลวงปู่เอี่ยม" ไปครอง "วัดหนัง" ต่อไป และรุ่งขึ้นอีก 1 ปี องค์สมเด็จพระปิยะมหาราชก็ได้พระราชทานสมณะศักดิ์ให้แก่หลวงปู่เอี่ยมแห่งวัดหนัง เป็นพระราชาคณะที่ "พระภาวนาโกศล" (เอี่ยม) ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับพระอาจารย์ของท่านนั่นเอง ท่านได้ครองวัดหนังอยู่ถึง 27 ปีเศษ จึงถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2469 รวมอายุได้ 94 ปี
พระปิดทวาร "ยันต์ยุ่ง" และ "พิมพ์ประกบ" ของหลวงปู่เอี่ยม ประมาณว่าได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2453 ณ ที่ "วัดหนัง" นั่นเอง สำหรับพระปิดตาเนื้อไม้ เนื้อสัมฤทธิ์ และเนื้อโลหะต่างๆ แบบหน้าเดียวและพระกริ่ง รวมทั้งเนื้อผงบางชนิด ก็ได้มีสร้างมาก่อนที่วัดโดนอนแล้ว เมื่อมาอยู่วัดหนัง หลวงปู่เอี่ยมท่านได้นำมาสร้างและแก้ไขใหม่อีกครั้ง เรื่องราวของพระปิดทวารยันต์ยุ่งนี้ นับเป็นการสร้างที่ต้องใช้ความประณีตแบบพระวัดทองของหลวงพ่อทับ (สร้างองค์ต่อองค์) มีลักษณะที่คล้ายกันก็จริง แต่ขนาดจะไม่เท่ากัน มีสร้างไว้ทั้งชนิดเนื้อสัมฤทธิ์แก่เงิน และเนื้อโลหะแก่ทอง (ที่ทำเป็นเนื้อผงสีน้ำตาลก็มี แต่หาชมได้ยากมาก) พระวัดหนังยันต์ยุ่งของวัดหนังเป็นพระปิดทวารที่อลังการไปอีกแบบหนึ่งโดยองค์จะบางกว่าพระวัดทอง
ขณะนี้ "พระปิดทวารยันต์ยุ่ง" ของวัดหนังซึ่งหาชมหรือมาเช่าได้ยากที่สุดนั้น ได้มีการทำปลอมกันไว้มากควรระวังไว้ด้วย สำหรับพุทธคุณของพระปิดทวารพิมพ์ยันต์ยุ่งนี้ ก็ไม่ผิดไปกว่าพระแร่บางไผ่ หรือพระปิดทวารวัดทองเลย นั่นก็คือเยี่ยมด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี และดีทางมหาอุตม์ด้วยครับ
ดังได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องพระปิดทวาร "ยันต์ยุ่ง" ว่าพระ "ภควัมบดี" ที่หลวงปู่เอี่ยมสร้างไว้มีมากพิมพ์ ประมาณจำนวนกันไม่ได้ แต่ก็เชื่อกันว่าพระเพียง 25% เท่านั้นที่ท่านอาจสร้างไว้เป็นครั้งแรกที่ "วัดโคนอน" สำหรับอีก 75% เข้าใจว่าใครสร้างที่ "วัดหนัง" เป็นส่วนใหญ่...."หลวงปู่เอี่ยม" แห่งวัดหนังราชวรวิหารองค์นี้ นับเป็นผู้เรืองวิทยาคมในระดับเดียวกับหลวงปู่รอด ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่านทีเดียว
กล่าวกันว่าเมื่อท่านมาอยู่วัดหนังได้ระยะหนึ่ง คือประมาณ พ.ศ. 2448 ท่านก็เริ่มสร้างพระเนื้อไม้แกะ และพระปิดตาฐานบัว ที่เคยสร้างไว้ที่วัดโคนอนต่อไปอีก สลับด้วยพระกริ่ง พระอุดก้นด้วยชันโรง พระปิดทวารยันต์ยุ่ง พระปิดทวารนะหัวเข่า พระปิดทวารหัวบานเย็น พระปิดตาหมากทุย พระปิดทวารพิมพ์ประกบ พระปิดตาพิมพ์ข้าวตอกแตก พระตาพิมพ์สังฆาฏิ และพระปิดตาปิดทวารพิมพ์เล็กจิ๋วอีกหลายแบบ รวมทั้งเป็นองค์พระ (ไม่ใช่พระปิดตา) ที่ประมาณพิมพ์ไม่ได้อีกด้วย หลวงปู่เอี่ยมได้สร้างพระแบบ "องค์ภควัมบดี" ดังกล่าว เป็นลำดับไปด้วยเนื้อไม้ เนื้อสัมฤทธิ์แก่เงิน (พิมพ์ยันต์ยุ่งและพิมพ์ประกบ นิยมกันมากและแพง) เนื้อสัมฤทธิ์แก่ทอง เนื้อชินเงิน เนื้อตะกั่วผสมชิน เนื้อเมฆพัด (มีน้อย) เนื้อผงสีต่างๆ เนื้อผงคลุกรัก และเนื้อผงใบลานเผาก็มีสร้างไว้
สรุปจากพระเครื่องพิมพ์ต่างๆ ที่หลวงปู่เอี่ยมได้สร้างไว้ ปัจจุบันจะหาชมได้เพียงบางพิมพ์เท่านั้น และขณะนี้ก็นับว่าได้สนนราคาเช่ากันสูงพอสมควรทีเดียว (พระปิดตา "ข้าวตอกแตก" เล็กจิ๋วกับพระปิดทวารเล็กจิ๋วเนื้อดินเป็นพระที่นิยมกันมาก) เรื่องราวจากพระปิดตาและปิดทวารของหลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง ยังคงมีปรากฏพิมพ์แปลกตาผ่านสนามพระเข้ามาอยู่เสมอ (จากรังเก่าเก็บบางบ้าน) จึงเป็นเรื่องไม่ยุติสำหรับพระของหลวงปู่เอี่ยมเพราะยังมีของดีซ่อนเร้นอยู่อีกมากที่เรายังจะต้องศึกษาต่อไปอีก.....

ครับ, แน่นอนเหลือเกินที่พระปิดตาและปิดทวารฯ ดังได้กล่าวไปแล้วนี้ พุทธคุณท่านมีดีครบ 3 ประการ เช่นพระเครื่องทั้งหลาย และยังเป็นพระที่ให้โชคให้ลาภอีกทางหนึ่งด้วยครับ

ข้อมูลจาก
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-iam-wat-nung/lp-iam-wat-nung-hist-01.htm

หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง
ผู้ถวายคำพยากรณ์ แด่ ร.๕

บทความในตอนนี้ขอเรียนให้ทราบก่อนว่า  ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ในพระราชหัตถเลขา หรือพระราชนิพนธ์ "ไกลบ้าน" แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องเล่าสืบทอดกันมาจากบรรดาข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ และปู่ย่า ตาทวดละแวกวัดโคนอน เขตภาษีเจริญ ที่ได้รู้ได้เห็นได้ประสบเหตุการณ์  เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์เข้านมัสการ   "หลวงปู่เอี่ยม"   เจ้าอาวาสวัดโคนอนในสมัยนั้น เพื่อขอรับการพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าในการเสด็จประพาสยุโรป จริง เท็จ ประการใด เชื่อได้หรือไม่ ? ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของท่านผู้อ่านก็แล้วกันนะครับ

ขอเริ่มเรื่องที่ "หลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอน"  หรือ "เจ้าคุณเฒ่า วัดหนัง" ที่หลายท่านโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวงการพระเครื่อง รู้จักกันดี  เหรียญรูปเหมือนของท่านทั้งสองรุ่นที่ทันท่านปลุกเสก ค่านิยมในการบูชาอยู่ในหลักแสนมานานนับสิบปีแล้ว เหตุที่มีชื่อเรียกอีกนามหนึ่งนั้น เพราะภายหลังท่านได้มาปกครองวัดหนัง ภาษีเจริญ และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ "พระภาวนาโกศล"    ก็คงจะเป็นด้วยคุณงามความดีของท่านที่ถวายคำพยากรณ์  โดยที่ผลของคำพยากรณ์ออกมาเป็นจริง ทำให้ไทยเราไม่ต้องสูญเสียองค์พระปิยมหาราช ในขณะที่เสด็จรอนแรมอยู่กลางทะเล มหาสมุทร   และแผนอันชั่วร้ายของ "เศษฝรั่ง" ที่คิดปลงพระชนม์ชีพพระองค์อย่างแยบยล ชนิดที่ชาวโลกไม่กล้าตำหนิ

 หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง บางขุนเทียน

หลวงปู่เอี่ยมนั้น ท่านเป็นศิษย์เอกของ "พระภาวนาโกศล (รอด) " อดีตเจ้าอาวาสวัดนางนอง วรวิหาร พระอารามหลวงชั้นตรีพระวิปัสนาจารย์ที่เก่งกล้าในด้านพุทธาคม มีตบะเดชะที่กล้าแข็ง สำเร็จวิชาแปดประการมีหูทิพย์ ตาทิพย์ ล่วงรู้จิตใจคน รู้อดีต รู้อนาคต แสดงฤทธิ์ได้ ฯลฯ  หลวงปู่รอดนี้  ต่อมาภายหลังท่านได้ถูกฝ่ายอาณาจักร และศาสนจักร  ลงโทษด้วยการปลดออกจากตำแหน่ง ริบสมณศักดิ์คืนเพราะท่านไม่ยอมถวายอดิเรกแด่ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๔ ในคราวเสด็จถวายผ้าพระกฐิน อาจจะเป็นเพราะความคิดที่ไม่เห็นด้วย ในการที่ล้นเกล้า ฯรัชกาลที่ ๔ ตั้ง   "ธรรมยุติกนิกาย" ขึ้นมา ทำให้สงฆ์ต้องแตกแยกกันนั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้ใดไม่เห็นด้วย ก็ไม่ควรเป็น "พระราชาคณะ" อีกต่อไป เพราะคำว่า "ราชาคณะ" นั้น แปลว่า "พวกของพระเจ้าแผ่นดิน หรือพระราชา"

เมื่อหลวงปู่รอดถูกถอดจากสมณศักดิ์แล้ว ก็ออกจากวัดนางนอง กลับไปยังวัดบ้านเกิดที่ห่างไกลจากความเจริญ คือ "วัดโคนอน"ด้วยความกตัญญูรู้คุณแด่องค์พระอาจารย์     หลวงปู่เอี่ยม ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียง "พระปลัดเอี่ยม"ก็อ้อนวอนขอติดตามองค์อาจารย์ ไปปรนนิบัติรับใช้ ท่านไปไหนก็ไปด้วย เรียกว่าเห็นใจในยามทุกข์ ก็คงจะไม่ผิด      แสดงให้เห็นถึงความไม่ยึดติดในลาภสักการะ ถิ่นที่อยู่ที่เจริญด้วยอาหารบิณฑบาต และปัจจัยในองค์หลวงปู่เอี่ยม นอกเหนือไปจากความกตัญญูกตเวที ที่ปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์ จวบจนวาระสุดท้าย

หลวงปู่เอี่ยมนั้นเป็น "ศิษย์มีครู " ดังนั้น   จึงถอดแบบอย่างมาจากองค์หลวงปู่รอดแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน หลวงปู่รอดเก่งอย่างไร หลวงปู่อี่ยมก็เก่งอย่างนั้น  จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ท่านจะมีศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือมากมาย ทั้งที่วัดอยู่ในถิ่นห่างไกลความเจริญ การเดินทางไปมาหาสู่ไม่สะดวก แม้แต่พระเจ้าน้องยาเธอ "กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์" เจ้ากรมพระนครบาล (มหาดไทยในปัจจุบัน) ยังน้อมตัวเป็นศิษย์ และท่านผู้นี้แหละ     ที่ถวายคำแนะนำและทูลเชิญเสด็จล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๕ให้เสด็จมาขอรับคำพยากรณ์จากหลวงปู่เอี่ยม ก่อนที่จะเสด็จประพาสยุโรป

ในการเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่หนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น  ไม่ได้เป็นการเสด็จเพื่อแสวงหาความสำราญแต่อย่างใด   แต่เป็นการเสด็จเพื่อดำเนินพระราชวิเทโศบายด้านการต่างประเทศอย่างชาญฉลาด  เป็นการเสด็จเพื่อเจริญพระราชไมตรีกับราชวงศ์ต่าง ๆ  ของยุโรป    โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียและเยอรมัน ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของอังกฤษ และฝรั่งเศส ด้วยหลักการที่ว่า "ศัตรูของเพื่อนก็คือศัตรูของเรา"  เมื่อผูกสัมพันธ์กับรัสเซีย เยอรมัน และกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ได้แล้ว อังกฤษ และฝรั่งเศสก็จะไม่กล้ารุกราน หรือยึดเอาประเทศไทยเป็น "อาณานิคม" อีกต่อไป ซึ่งส่งผลทำให้ไทยเราดำรงความเป็นเอกราชมาจนทุกวันนี้

การเสด็จประพาสยุโรปในสมัยนั้น  ทำได้ทางเดียว คือ "ทางเรือ" ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางแรมเดือน การออกทะเลหรือมหาสมุทรนั้น แม้ในปัจจุบันที่มีการพัฒนาการเดินเรือ มีเรือที่มั่นคงแข็งแรง ประสิทธิภาพสูง  มีการติดต่อสื่อสารที่ทันท่วงที ก็ยังไม่วายจะ "อับปาง" เลยครับ หากออกเดินทางในช่วงมรสุม หรือ "สุ่มสี่สุ่มห้า"  ล่ะก็  เป็นเสร็จทุกราย       คนโบราณจึงสอนเอาไว้ว่า "อย่าไว้ใจทะเลคืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล มีภยันตรายรอบด้าน ทุกเวลานาที"  ท่านผู้อ่านลองหลับตาวาดภาพการเดินเรือในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีล่วงมาแล้วซิครับ ว่ายากลำบาก และมีอันตรายเพียงใด แต่ล้นเกล้า ฯ     รัชกาลที่ ๕ท่านก็ทรงเสด็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย เป็นการเสียสละพระองค์อย่างสูงสุด ที่ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกจะทำได้  ตอนหน้าจะได้กล่าวถึงคำพยากรณ์และการแก้ไขเหตุร้ายแรงที่ประสบตามคำพยากรณ์    เป็นเรื่องของความเชื่อถือในคุณพระ และคาถาอาคม หากท่านเห็นว่า "ไม่ไร้สาระ" จนเกินไป

 --------------------------------------------------------------------------------

เมื่อล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๕    ได้รับคำแนะนำจากพระเจ้าน้องยาเธอ "กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์"ให้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ เข้านมัสการ "หลวงปู่เอี่ยม" วัดโคนอน เพื่อขอรับคำพยากรณ์ก่อนที่จะเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น ภายหลังที่กำหนดการเสด็จวัดโคนอนได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นการส่วนพระองค์เรียบร้อยแล้ว   ก็ได้ส่งหมายกำหนดการไปถวายแด่หลวงปู่เอี่ยม เป็นการภายใน เพื่อที่จะได้เตรียมตัวรับเสด็จ

ขบวนเสด็จประกอบด้วย เรือพายสี่แจวที่ทรงประทับ   และขบวนเรือคุ้มกัน ควบคุมโดยพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงนเรศวรฤทธิ์    ได้เคลื่อนที่เข้าคลองลัดสู่วัดโคนอน ชาวบ้านละแวกนั้นไม่ได้ไหวตัวหรือเอะใจแต่อย่างใด เพราะเห็นเป็นขบวนเรือธรรมดา มิได้ประดับประดาธงทิวให้แปลกไปกว่าเรือลำอื่นดูเหมือนกับเรือที่ขุนนางหรือเศรษฐีผู้มีทรัพย์ใช้กันทั่วไป และผู้ที่ขึ้นมาจากเรือสี่แจวต่างก็แต่งกายแบบธรรมดา  มีหมวกสวมไว้บนศีรษะ ใบหน้าบ่งบอกถึงเป็นผู้มีบุญ หนวดบอกถึงผู้มีอำนาจดวงตาฉายแววแห่งความเมตตาปราณีตลอดเวลา เวลาเดินมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ทุกคนไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า "บุรุษผู้ขึ้นมาจากเรือสี่แจวนั้น คือ เจ้าชีวิตแห่งกรุงสยาม พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ผู้ทรงประกาศเลิกทาสโดยสิ้นเชิง"

 พระปลัดเอี่ยมนั่งรออยู่บนอาสนะอันสมควรแก่ฐานานุรูป    ภายในพระอุโบสถอันแคบ แบบวัดราษฏร์ในเขตอันไกลจากพระบรมมหาราชวัง กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ก้าวนำเสด็จเข้ามาภายในพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงจุดธูปเทียนบูชาสักการะพระประธาน กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงเสด็จกลับมาถวายนมัสการพระปลัดเอี่ยม ซึ่งกราบทูลให้ทรงประทับนั่งธรรมดาตามสบายพระองค์

"ที่รูปมาในวันนี้ ("รูป" เป็นคำที่พระมหากษัตริย์สมัยก่อนใช้แทนพระนามเมื่อมีพระราชดำรัสกับพระสงฆ์) เพื่อขอให้ท่านปลัดได้ช่วยตรวจดูเหตุการณ์ว่า การที่รูปจะเสด็จไปยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักในยุโรปนั้น จักเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยหนทางไกลและอันตรายมีอยู่รอบด้าน"

"มหาบพิตร อาตมาจักตรวจสอบให้ อย่าได้ทรงมีพระหทัยกังวล ทั้งนี้ด้วยพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสมมติเทพแบบพระองค์นั้น มีบุญญาธิการ สามารถผ่านพ้นความทุกข์ได้อย่างมั่นคง"

พระปลัดเอี่ยมลุกจากที่นั่งไปคุกเข่าลงหน้าพระประธาน ก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ระลึกถึงองค์พระรัตนตรัย และหลวงปู่รอดผู้มรณภาพไปแล้ว ขอบารมีในการจะเข้า "ฌาน" เพื่อดูอนาคตด้วย "อนาคตังสญาณ"   จากนั้นก็กลับเข้ามาสู่ท่านั่งสมาธิตัวตรง เจริญอานาปานสติ แล้วเข้าสู่ฌานที่ ๔ ตามลำดับ จากนั้นเข้าสู่อนาคตังสญาณ โดยกำหนดจิตไว้มั่นเพื่อให้นิมิตเกิด

ในท่ามกลางความคะนองของท้องทะเล และคลื่นลมตลอดจนวังวนของทะเล เรือพระที่นั่งกำลังอยู่ในปากแห่งวังวนนั้น น้ำในวังวนเชี่ยวกราก และส่งแรงดูดมหาศาล ภายใต้วังวนนั้น ซากเรือใหญ่น้อยจมอยู่เป็นอันมาก พ้นจากทะเลมาสู่บก พลันภาพของกลุ่มคนที่นั่งกันอยู่เป็นชั้น ๆ ส่งเสียงจ้อกแจัก ด้านล่างเป็นผืนหญ้า  และมีผู้จูงม้าเข้ามาในที่นั้น ม้าตัวนั้นมีคนถือเชือกที่ล่ามขาทั้งสี่คอยดึงไว้ไม่ให้พยศ ดวงตาของมันเหลือกโปน น้ำลายฟูมปาก

ภาพของฝรั่งแต่งตัวด้วยเครื่องแบบประหลาด ผายมือให้พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงเสด็จไปรับม้าเพื่อประทับ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบหายไป ถึงวาระที่ออกจากญาณพอดีลุกขึ้นเดินมานั่งบนอาสนะที่เดิม ก่อนจะกราบทูลความถวายว่า

"มหาบพิตร การเสด็จพระราชดำเนินสู่ยุโรปครั้งนี้  จะต้องประสบภัยสองครั้ง ครั้งแรกในทะเลที่วังวน   อาตมาจะถวายผ้ายันต์พิเศษและคาถากำกับ เมื่อเข้าที่คับขันขอให้ทรงเสด็จไปยืนที่หัวเรือ แล้วภาวนาคาถากำกับผ้ายันต์แล้วโบกผ้านั้น จะเกิดลมมหาวาตะพัดให้เรือหลุดจากการเข้าสู่วังวนได้

ภัยครั้งที่สองเกิดจากสัตว์จตุบท (สี่เท้า) คืออัศดรชาติอันดุร้ายที่ฝ่ายตรงข้ามจะทดลองพระองค์อาตมาจะถวายคาถาพิเศษสำหรับภาวนาเวลาถอนหญ้าให้อัศดรอันดุร้ายนั้นกิน จะคลายพยศและสามารถประทับบังคับให้ทำตามพระราชหฤทัยได้เหมือนม้าเชื่อง" ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ปู่ย่าตายายได้เล่าสืบทอดกันมาอันมีส่วนหนึ่งเกี่ยวพันกับพระบรมรูปทรงม้าที่ลานพระราชวังดุสิต

คาถาเสกหญ้าให้ม้ากินที่หลวงปู่เอี่ยมถวายนั้น คือ "คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย" หรือ "มงกุฎพระพุทธเจ้า"  มีตัวคาถาว่า "อิติปิโส  วิเสเสอิ   อิเสเส พุทธะนาเมอิ    อิเมนา พุทธะตังโสอิ  อิโสตังพุทธะปิติอิ "

หลังจากได้ทรงมีพระราชดำรัสกับพระปลัดเอี่ยมพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ทรงถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่พระปลัดเอี่ยม จากนั้นได้เสด็จทอดพระเนตรโดยรอบวัดโคนอน ซึ่งตอนนี้มีผู้จดจำพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าได้แม่นยำ ได้บอกกันออกไป ทำให้มีผู้มาหมอบเฝ้ารับเสด็จกันเป็นจำนวนพอสมควร ครั้นทรงสำราญพระอิริยาบถพอสมควรแล้ว ก็เสด็จกลับสู่พระบรมมหาราชวัง เพื่อเตรียมพระองค์ไปทวีปยุโรปต่อไป

 --------------------------------------------------------------------------------

            การเสด็จประพาสยุโรปในครั้งแรก เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ร.ศ. ๑๑๖) ได้ทรงเตรียมการทุกอย่างไว้เป็นอย่างดียิ่ง ในส่วนที่เป็นกิจการภายในประเทศ ได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อหน้ามหาสมาคม จากนั้นได้ทรงถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้ามหาสมาคมซึ่งประกอบไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เหล่าเสนามหาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร และพระราชาคณะอันมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร บางลำภู กทม. มีใจความสำคัญ ดังนี้

๑. จักไม่เปลี่ยนแปลงจากพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาอื่น    

๒. จักเสวยน้ำจัณฑ์ (เหล้า) ต่อเมื่อไม่เป็นการผิดพระราชประเพณีต่อฝ่ายที่จะกระชับสัมพันธไมตรี และจะเสวยเพียงเพื่อไมตรีไม่ให้เสียพระเกียรติยศ

๓. จะไม่ล่วงประเวณีต่อสตรีไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด ตลอดเวลาที่พ้นออกไปจากพระราชอาณาเขตสยาม

ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความสำราญส่วนพระองค์ แต่ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อประเทศชาติโดยแท้ จากจดหมายเหตุและพระราชหัตถเลขา ที่ทรงมีมายังพระพันปีหลวงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ทรงบอกชัดเจนว่า

ทรงต้องผจญภัยในท้องทะเล กับคลื่นลมที่แปรปรวน ทรงพบกับความลำบากนานาประการอาทิ ต้องทรงงดเสวยพระโอสถหมากและพระโอสถมวน (หมาก พลู บุหรี่) และต้องให้ช่างมาขูดคราบพระทนต์ (ฟัน) ที่เกิดจากคราบหมากคราบปูนออกเพื่อให้พระทนต์ขาว ห้องพระบรรทมในเรือพระที่นั่งก็ไม่สะดวกสบาย อากาศร้อนเป็นที่สุด การเสวยก็ไม่เป็นไปตามที่ทรงพระประสงค์ ฯลฯ ซึ่งความยากลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาแรมเดือน ในช่วงที่ต้องใช้ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางเสด็จและในช่วงที่เสด็จรอนแรมในท้องทะเลนั่นเอง คำพยากรณ์ข้อที่ ๑ ของหลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอนก็เป็นจริง

เมื่อเรือพระที่นั่งแล่นอยู่ในบริเวณใกล้กับ สะดือทะเล หรือ "ซากัสโซ ซี" อันบริเวณนั้นมักจะเกิดน้ำวนเป็นประจำ และเรือลำใดบังเอิญหลงเข้าไปในวังน้ำวนนั้น ก็มีหวังจมลงอับปางเป็นแน่แท้ และแล้วเรือพระที่นั่งมหาจักรี ก็พลัดเข้าไปในวังวนนั้นจนได้    

กัปต้นคัมมิง (Commander Cumming) แห่งราชนาวีอังกฤษซึ่งไทยได้ขอยืมตัวมาเป็นผู้บังคับการเรือพระที่นั่งเป็นการชั่วคราว ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มสติกำลังความสามารถ บังคับเรือให้สู้กับแรงหมุนและดูดอย่างเต็มที่ ด้วยหากเรือพระที่นั่งเข้าปากวังวนแล้ว การรอดออกมานั้นหมดหนทาง

ในขณะที่วิกฤตินั้น ได้มีผู้เข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ เมื่อระลึกถึงคำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมข้อแรกขึ้นมาได้ ก็ทรงจัดฉลองพระองค์ให้รัดกุม อาราธนาผ้ายันต์ของพระปลัดเอี่ยมติดมาด้วย    เมื่อเสด็จมาถึงตอนหัวเรือ กัปตันกำลังแก้ไขสถานการณ์สุดกำลัง ทรงไม่รบกวนสมาธิของกัปตัน แต่เสด็จไปยืนอธิษฐานจิตถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราช และบารมีทศพิธราชธรรม และการเลิกทาสที่ทรงพระวิริยะอุตสาหะในการช่วยเหลือพสกนิกรให้พ้นจากการเป็นทาส จบลงด้วยพระปลัดเอี่ยมและผ้ายันต์ ทรงโบกผ้ายันต์นั้นไปมาด้วยความมั่นพระราชหฤทัย แล้วปาฎิหาริย์ก็ปรากฎ เหตุการณ์ก็แปรเปลี่ยน   จู่ ๆ ก็เกิดลมมหาวาตะพัดมาในทิศทางที่อยู่ในแนวเดียวกับวังวน แรงลมทำให้เกิดกระแสคลื่นสะกัดกระแสวนของวังน้ำ ดันเรือพระที่นั่งให้พ้นจากแรงดูดสามารถตั้งเข็มเข้าสู่เส้นทางได้ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนว่า "ฮูเรย์" ของกัปตันและลูกเรือ

ส่วนผู้ติดตามเสด็จนั้นอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก จนทรงพับผ้ายันต์เก็บแล้วนั่นแหละ จึงค่อย ๆร้องว่า สาธุ สาธุ คำพยากรณ์ข้อแรกเป็นที่ประจักษ์แก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงว่า "แม่นยำยิ่งนัก"   คงเหลือแต่คำพยากรณ์ข้อที่สองซึ่งยังมาไม่ถึง แต่ก็ทรงเตรียมพระองค์รับสถานการณ์หากจะเกิดขึ้น

เส้นทางเสด็จพระราชดำเนินนั้น   มีช่วงที่รอนแรมในมหาสมุทรอินเดียยาวนานถึง ๑๕ วัน ๑๕คืน  คือเส้นทางระหว่างเมืองกอล (Galle) ประเทศศรีลังกา ไปยังเมืองเอเดน (Aden) เมืองท่าปากทางเข้าสู่ทะเลแดงของประเทศเยเมน ช่วงนี้แหละที่น่าจะเป็นช่วงอันตรายที่สุดและลำบากที่สุด เหตุการณ์ตามคำพยากรณ์ข้อที่ ๑ ข้างต้น    คงเกิดในช่วงเส้นทางนี้  คือระหว่างวันที่ ๒๓ เมษายน  ถึง ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ (ขอย้ำอีกครั้ง เป็นเรื่องเล่า ไม่ได้มีบันทึกไว้ในพระราชหัตถเลขา - เล็ก พลูโต)

ขอรวบรัดตัดตอนเส้นทางเสด็จ ไม่ขอนำความมากล่าวโดยละเอียด ณ ที่นี้ เมื่อพระองค์เสด็จถึงประเทศฝรั่งเศส  ประธานาธิบดี เฟลิกซ์ ฟอร์ ได้ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่แรกไม่คิดจะต้อนรับขับสู้อย่างดีหรอกครับ     แต่สืบข่าวดูแล้ว ทุกประเทศที่พระองค์เสด็จผ่านมาก่อนหน้าที่จะเข้าฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี ออสเตรีย ฮังการี รัสเซีย เดนมาร์ก อังกฤษเบลเยี่ยม เยอรมัน ต่างก็ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ โดยเฉพาะรัสเซีย พระเจ้าซาร์ นิโคลัสทรงยกย่องนับถือเสมือนหนึ่งพระอนุชาร่วมอุทรของพระองค์เอง มีการฉายภาพพระบรมฉายาลักษณ์คู่กัน เผยแพร่ไปทั่วยุโรป แล้วอย่างนี้ "เจ้าเศษฝรั่ง" จะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้อย่างไร

ในช่วงที่ทรงพำนักในกรุงปารีส ฝรั่งเศส  ระหว่างวันที่ ๑๑ กันยายน ถึง ๑๗ กันยายน ๒๔๔๐นี่เอง ที่พระองค์ได้ประสบกับความแม่นยำในอนาคตังสญาณของพระปลัดเอี่ยม ข้อที่ ๒ หากไม่ได้เตรียมการ หรือเตรียมพระองค์ล่วงหน้าแล้ว มีหวังที่จะต้องเอาพระชนม์ชีพไปทิ้งเสียที่นี่กระมัง

 --------------------------------------------------------------------------------

               โบราณว่าไว้ "หากไม่เข้าถ้ำเสือ แล้วจะได้ลูกเสืออย่างไร ? " เป็นบทท้าทายคำพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดตอนที่ล้นเกล้า ร.๕ พระปิยมหาราชเสด็จพระราชดำเนินเหยียบดินแดนของผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นศัตรู ที่ร้ายกาจ หวังจะครอบครองแผ่นดินไทยให้ได้ทั้งหมด แม้จะได้เป็นบางส่วนแล้วก็ตามก็หาเป็นที่พอใจไม่

ในช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนทวีปยุโรปครั้งแรก เมื่อ ร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐) นั้น สยามประเทศของเรายังคงมีกรณีพิพาทต่อกันในเรื่อง "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" กล่าวคือเราต้องยอมให้อังกฤษและฝรั่งเศสตั้งศาลกงสุลของตนในดินแดนไทย สำหรับตัดสินคดีความต่าง ๆ เมื่อคนของเขา หรือคนใดก็ตามแม้แต่คนไทยหัวใสบางคนที่ยอมตนจดทะเบียนเป็นคนในบังคับ  (คล้าย ๆ กับการโอนสัญชาติ แต่ไม่ใช่ เพราะยังไม่มีสิทธิที่จะพำนักในประเทศของเขา ) ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อย เพราะเวลาทำผิดแล้วไม่ต้องขึ้นศาลไทย ไม่ใช้กฎหมายไทยตัดสิน คนไทยเองก็เถอะ หากทำความผิดต่อคนของเขาแล้ว ต้องขึ้นศาลเขาและต้องยอมเขาทุกอย่าง แม้ศาลไทยจะตัดสินว่า "ถูก" หากเขาเห็นว่า "ผิด"  คนผู้นั้นก็ต้องถูกลงอาญา ซึ่งเป็นหนามยอกอกของคนไทยในสมัยนั้นมาก ต้องยอมให้คนต่างชาติต่างแดนมากดหัวเรา มาเอาเปรียบเรา เป็นการยั่วยุให้เราหมดความอดทน หากก่อสงคราม ก็มีหวังสูญเสียเอกราชของชาติแน่นอน

กรณี "พระยอดเมืองขวาง"  แขวงเมืองคำเกิดคำมวน วีรบุรุษไทยที่รักผืนแผ่นดินไทย รักในองค์พระมหากษัตริย์ไทย ได้ดับความอหังการ์ของทหารฝรั่งเศส ที่บุกรุกอธิปไตยของไทยที่เมืองขวาง จนต้องถูกจำคุกเสียหลายปี แม้ศาลไทยจะให้ปล่อยตัวเพราะเป็นการทำตามหน้าที่ แต่ศาลกงสุลของฝรั่งเศสในไทยตัดสินให้จำคุก ท่านก็ต้องติดคุกเพื่อชาติ เรื่องนี้คนไทยทั้งแผ่นดินในขณะนั้น แค้นแทบจะกระอักเลือดเลยครับ เกือบจะทำสงครามกันรอมร่ออยู่แล้ว  ดีแต่องค์พระปิยมหาราชเจ้า ท่านทรงดำเนินวิเทโศบายด้านต่างประเทศด้วยการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรปเสียก่อน แล้วพระองค์ก็ทรงทำสำเร็จเสียด้วย ผู้ที่แค้นแทบจะกระอักเลือดแทน ก็คงจะเป็น "เจ้าเศษฝรั่ง" น่ะเองซึ่งมันก็รอจังหวะและโอกาสที่จะล้างแค้นเหมือนกัน มันคิดว่า

"หากไม่มีล้นเกล้า ฯ ร.๕ เสียพระองค์หนึ่ง สยามประเทศเราก็เปรียบเสมือนมังกรที่ไร้หัว" ที่นี้คงมีโอกาสมากขึ้นหากจะฮุบประเทศชาติของเราไว้ในกำมือ และแล้วแผนการอันแยบยลก็อุบัติขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จเยือนประเทศฝรั่งเศส แม้เขาจะต้อนรับพระองค์อย่างสมพระเกียรติก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น หลังฉากน่ะหรือ ?   ได้กำหนดขึ้นเพื่อต้อนรับพระองค์ไว้เรียบร้อยแล้ว ในสนามแข่งม้าชานกรุงปารีสนั่นเอง เมื่อพระองค์ได้รับคำทูลเชิญให้เสด็จทอดพระเนตรการแข่งม้านัดสำคัญนัดหนึ่งซึ่งมีขุนนาง ข้าราชการ พระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศสมาชมกันมาก พวกมันได้นำเอาม้าดุร้ายและพยศอย่างร้ายกาจมาถวายให้ทรงประทับ โดยถือโอกาสขณะที่อยู่ท่ามกลางมหาสมาคม แม้รู้ว่าม้านั้นดุร้าย พระปิยมหราชเจ้าก็จะไม่ทรงหลีกหนี ด้วยขัตติยะมานะที่ทรงมีอยู่ในฐานะผู้นำประเทศ หากทรงพลาดพลั้งนั่นคือ "อุบัติเหตุ" ใครก็จะเอาผิดหรือต่อว่าเจ้าเศษฝรั่งไม่ได้

 ม้าตัวนั้นเล่าลือกันว่า     เคยโขกกัดผู้เลี้ยงดูและผู้หาญขึ้นไปขี่ตายมาแล้วหลายคน จะเอาไปไหนต้องมีคนจูงด้วยเชือกล่ามเท้าทั้งสี่ไว้    เพื่อป้องกันการพยศและขบกัดผู้คน นัยว่าเป็นม้าของเจ้าชายแห่งฝรั่งเศสพระองค์หนึ่ง     เมื่อถูกนำเข้ามาในสนาม ทุกคนก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มวางหลุมพราง โดยกราบบังคมทูลว่า

 "ไม่ทราบเกล้าว่าเมื่ออยู่ในสยามประเทศเคยทรงม้าหรือไม่ พระเจ้าข้า"

"แน่นอน  ข้าพเจ้าเคยทรงอยู่เป็นประจำ เพราะในสยามประเทศก็มีม้าพันธุ์ดีอยู่มาก"

"โอ วิเศษ ขออัญเชิญพระองค์ทรงเสด็จขึ้นทรงม้า ตัวที่กำลังถูกจูงเข้ามานี้ให้ประจักษ์ชัดแก่สายตาของผู้คนในสนามม้านี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสกราบทูลด้วยความกระหยิ่มใจ

"แน่นอน  ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านทั้งหลายได้ดูว่า กษัตริย์แห่งสยามประเทศนั้นไม่เคยหวาดหวั่นกลัวแม้แต่อัสดรที่พยศดุร้าย หรือผู้คุกคามที่มีอาวุธพร้อมสรรพ "

จบพระราชดำรัสก็ทรงลุกขึ้นเปิดพระมาลาขึ้นรับการปรบมืออันกึกก้องสนามม้าแห่งนั้น แล้วเสด็จพระราชดำเนินลงจากอัฒจันทร์ สู่ลู่ด้านล่างซึ่งขณะนั้นม้ายืนส่งเสียงร้องและเอากีบเท้าตะกุยจนหญ้าขาดกระจุยกระจาย

คำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมยังกึกก้องอยู่ในพระกรรณ ทรงก้มพระวรกายลงใช้พระหัตถ์ขวารวบยอดหญ้าแล้วดึงขึ้นมากำมือหนึ่ง ทรงตั้งจิตอธิษฐานถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราชและพระปลัดเอี่ยม เจริญภาวนาพระคาถาอิติปิโสเรือนเตี้ยที่พระปลัดเอี่ยมถวายสามจบ ทรงเป่าลมจากพระโอษฐ์ลงไปบนกำหญ้านั้น แล้วแผ่เมตตาซ้ำ ยื่นส่งไปที่ปากม้า เจ้าสัตว์สี่เท้าผู้ดุร้ายสะบัดแผงคอส่งเสียงดังลั่นก่อนจะอ้าปากงับเอาหญ้าในพระหัตถ์ไปเคี้ยวกินแล้วก็กลืนลงไป

ผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศสโบกผ้าเช็ดหน้า เป็นสัญญาณให้แก้เชือกที่ตรึงเท้าม้าออกไปพ้นทั้งสี่เท้าบัดนี้เจ้าสัตว์ร้ายพ้นจากพันธนาการ และบรรดาผู้ที่จูงมันเข้ามาก็ผละหนี    เพราะเกรงกลัวในความดุร้ายของมัน พระปิยะมหาราชเจ้าทรงทอดสายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่นัยน์ตาของม้านั้น ก็เห็นว่ามันมีแววตาอันเป็นปกติ มิได้เหลือกโปนดุร้าย ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปตบที่ขาหน้าของมันสามครั้ง เจ้าม้านั้นก็ก้มหัวลงมาดมที่พระกรไม่แสดงอาการตื่น  หญ้าเสกสำริดผลตามประสงค์

อาชาที่ดุร้ายกลับเชื่องลงเหมือนม้าลากรถ เจ้าชีวิตแห่งสยามประเทศยกพระบาทขึ้นเหยียบโกลนข้างหนึ่งแล้วหยัดพระวรกายขึ้นประทับบนอานม้าอย่างสง่างามไร้อาการต่อต้านของม้าที่เคยดุร้ายเสียงคนบนอัฒจันทร์ส่งเสียงตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า "บราโวส บราโวส" อันหมายถึงว่า "วิเศษที่สุด เก่งที่สุด ยอดที่สุด" ทรงกระตุ้นม้าให้ออกเดินเหยาะย่างไปโดยรอบสนาม  ผ่านอัฒจันทร์ที่มีผู้คนคอยชม  เปิดพระมาลารับเสียงตะโกนเฉลิมพระเกียรติบางคนก็โยนหมวก โดยมีดอกกุหลาบลงมาเกลื่อนสนามตลอดระยะทางที่ทรงเหยาะย่างม้าผ่านไปจนครบรอบ จึงเสด็จลงจากหลังม้ากลับขึ้นไปประทับบนพระที่นั่งตามเดิม

บรรดาพี่เลี้ยงม้าก็เข้ามาจูงม้านั้นออกไปจากสนาม คำพยากรณ์ข้อที่สองและคาถาที่พระปลัดเอี่ยมแห่งวัดโคนอนถวาย ได้สำริดผลประจักษ์แก่พระราชหฤทัย ทรงระลึกถึงพระปลัดเอี่ยมว่า เป็นผู้ที่จงรักภักดีโดยแท้จริง และได้ช่วยให้ทรงผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายมาถึงสองครั้งสองครา  และทั้งหมดนี้คือจุดเล็ก ๆ    ในเกร็ดพระราชประวัติ เป็นปฐมเหตุแห่งพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระราชวังดุสิต ที่เล่าขานกันต่อมาช้านาน และยังคงกึกก้องในโสตประสาทของปวงชนชาวไทยต่อไป ชั่วกาลปาวสาน

ข้อมูลจาก
http://www.yorbor.com/index.php?topic=4595.0;wap2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น