ทุกท่าน สามารถ ติดต่อ เช่า-บูชาพระ ได้ที่ Line , Facebook

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

ประวัติ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร

ประวัติ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร


คำบูชา คาถาหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร
พระคาถาบูชาหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร
ตั้งนะโม ๓ จบ
อะกะ อะธิ อะธิ อะกะ ธิอะ กะอะ
วันทามิ อาจาริยัญจะ หิรัญญะ นามะกัง ถิรัง สิทธิ ทันตัง มหาเตชัง อิทธิ มันตัง วะสาทะรัง
สิทธิ พุทธัง กิจจัง มะมะ ผู้คนไหลมา นะชาลี ติ
สิทธิ ธัมมัง จิตตัง มะมะ ข้าวของไหลมา นะชาลี ติ
สิทธิ สังฆัง จิตตัง มะมะ เงินทองไหลมา นะชาลี ติ
ฉิมพลี จะ มหาลาภัง ภะวันตุ เม
 ประวัติและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร ตอนที่ 1

        ซึ่งจากคำบอกเล่า บอกต่อๆกันมานั้น หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ มีนามเดิมว่า "เงิน" เกิดในวันศุกร์ เดือน 10 ปีฉลู หรือตรงกับวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2353 แต่บ้างก็บอกว่าเกิดในปี พ.ศ.2360 โดยโยมบิดา ของท่านชื่อ อู๋ โยมมารดาชื่อ ฟัก มีพี่น้องรวมกันทั้งหลวงพ่อเงินด้วยแล้ว มีจำนวนด้วยกัน 6 คน ได้แก่
     1. นายพรม 2. นางทับ 3. นายทอง (ภายหลังได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นท่านขุนภุมรา) 4. ชื่อเงิน ก็คือหลวงพ่อเงิน นั้นเอง 5. นายหล่ำ 6. นางรอด
     โดยทุกท่านที่กล่าวมานี้ ล้วนถือกำเนิดที่บ้านบางคลานทุกท่าน เป็นเลือดเนื้อชาวพิจิตร "เมืองชาละวัน"
     เมื่อหลวงพ่อเงินเจริญวัยได้เพียง สามขวบเท่านั้นนายช่วงผู้เป็นลุง ก็นำหลวงพ่อเข้ามาเลี้ยง และได้ส่งหลวงพ่อให้ได้เล่าเรียนวัดตองปุ หรือวัดชนะสงครามใน กทม. นี่เอง จนหลวงพ่อท่านมีอายุได้ สิบสองปี นายช่วงผู้เป็นลุงจึงให้หลวงพ่อได้บรรพชาเป็นสามเณรองค์น้อยๆ ได้ร่ำเรียนทั้งทางคาถาอาคมต่างๆ และด้านพระธรรมวินัยจนแตกฉานเก่งกล้าสามารถเกินผู้ที่อยู่ในวัยเดียวกันและเมื่ออายุใกล้จะ อุปสมบทหลวงพ่อเงินก็สึก และได้อยู่กับพี่ชาย และพี่สะใภ้ของท่าน

      ส่วนในด้านความรักแรกเริ่ม ของหนุ่มสาวสมัยนั้นหาเวลาพบกันยากเหลือเกิน ต้องคอยนั่งนับวันนับคืน ที่หมุนเวียนผ่านไป รอว่า เมื่อไหร่จะถึงวันพระ 8 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ จึงจะได้ไปทำบุญ ฝ่ายสาวก็จะ ช่วยกันจัดสำรับกับข้าว คาวหวานไปทำบุญที่วัดในละแวกบ้าน กับพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ฝ่ายชายหนุ่ม ก็เช่นเดียวกัน จึงมีโอกาสได้ปรายสายตาส่งยิ้มหวานๆ จนถึงขั้นเจรจาพาทีกัน พ้นช่วงยากเย็น เหลือประมาณ
     หลวงพ่อเงิน ท่านก็เช่นเดียวกัน กว่าจะได้มีโอกาสนำความมาปรึกษา กับญาติผู้ใหญ่ได้ถึงเรื่องการไปสู่ขอ "สาวเงิน" คนนั้นก็ต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียว จะมีความสุข หรือจะวุ่นวายมีอแต่ความทุกข์ หรือจะทำประการใดท่านมองคู่นั้น ท่านถามคู่นี้ แม้แต่พวกพี่ๆน้องๆของท่าน มันเป็นคำถามที่แสนจะสับสนในหัวใจชายหนุ่ม และคำตอบที่ได้มา ก็น่าจะนำมาครุ่นคิดยิ่งนัก ไม่รู้จะทำประการใดดี
     มีคำตอบอยู่ประโยคหนึ่ง จากปากพี่สะใภ้ของท่าน หลังจากที่ท่านได้พูดคุย-ถาม ถึงทุกข์สุขในชีวิตการครองเรือนแล้ว "ชาตินี้นะ อย่าแต่งงานเลย" ความสงสัยของท่านจึงรีบถามขึ้นทันทีว่า ทำไมละพี่ พี่สะใภ้จึงบอกว่า "ถ้าบวชได้ประเสริฐกว่า" หลวงพ่อท่านจึงเก็บมาคิด" ชาตินี้นะอย่าแต่งงานเลยถ้าบวชได้ประเสริฐกว่า "เหมือนเป็น "สร้อยวลีจากสรวงสวรรค์" ที่มีพลังฉุดหัวใจของหลวงพ่อให้บ่ายหน้าเข้าสู่ ร่มกาสาวพัสตร์ในทันที
     จากนั้นมา พระพุทธศาสนาก็มีพระภิกษุหนุ่มอุบัติขึ้นมาอีกหนึ่งองค์ ได้รับฉายาว่า พุทธโชติ" ณ พัทธสีมาวัดตองปุ หรือวัดชนะสงคราม ท่านได้จำพรรษาอยู่วัดนี้เพียง สามพรรษาเท่านั้น ไม่ทราบว่า อาจารย์ของท่านคือใคร ทั้งอุปัชฌาย์และคู่สวด สืบสาวราวเรื่องดูแล้ว ไม่มีบันทึกไว้ ณ ที่ใดเลย
     ต่อมาไม่นาน พี่ชายของท่านก็มาส่งข่าวว่า โยมปู่ของท่านได้ล้มป่วยลง มีอาการเป็นที่น่าวิตก อาจจะไม่รอดก็ได้หลวงพ่อจึงต้องออกจากวัดตองปุ โดยที่ท่านจำพรรษาอยู่เพียง 3 พรรษาเท่านั้น เมื่อท่าน เดินทางกลับมาพิจิตร ก็พักจำพรรษาอยู่วัดบางคลานใต้ ซึ่งอยู่ใกล้บ้านของท่านนั้นเอง โดยต่อมาวัดนี้ได้มีชื่อใหม่ว่า "วัดคงคาราม" มีเจ้าอาวาสชื่อ หลวงพ่อโห้ ซึ่งเป็นอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่นิยมการเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งคนสมัยก่อนถือเป็นวิชาแขนงหนึ่งที่พยายามนำส่วนผสมของโลหะต่างๆ เอามารวมกีบสมุรไพรบ้าง รวมกับว่านบ้างแล้วหลอมให้ละลาย เพื่อให้โลหะเช่นตะกั่วหรือดีบุกนั้นกลายเป็นทองคำบริสุทธิ์
     เหตุที่หลวงพ่อเงินท่านมาจำพรรษา อยู่วัดคงคาราม เพราะว่าเป็นการสะดวกสบายต่อการไปมาหาสู่ของญาติโยมท่านเอง แต่แล้ว ท่านก็อยู่จำพรรษาได้เพียง หนึ่งพรรษาเท่านั้นที่วัดคงคารามแห่งนี้ อาจจะเนื่องมาจากสาเหตุที่หลวงพ่อท่านไม่มีความสงบ เพราะสงบ เพราะหลวงพ่อโห้ ท่านเป็นนักแหล่ นักเทศน์ ทำยองเสนาะ จึงต้องซ้อมลูกคอบ้าง ทำนองหางเสียงบ้าง และซ้อมทั้งเช้าทั้งเย็น ซึ่งผิดกับวัตร ปฎิบัติของหลวงพ่อเงินที่ท่านชอบความสงบวิเวก นั่งสมาธิ เดินจงกรมตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งที่บวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดตองปุในกทม. หลวงพ่อเงินจึงจำเป็นต้องย้ายจากวัดคงคารามไปอยู่ที่วัด "วังตะโก" ซึ่งภูมิลำเนาของวัดวังตะโกแห่งนี้อยู่ลึกเลยเข้าไปทางลำน้ำน่านสายเก่าแต่เดิมมา
     คำพูดของหลวงพ่อเงินประโยคหนึ่งที่ว่า "ชาติเสือต้องไม่ขอเนื้อใครกิน" ท่านมักจะพูดอยู่เสมอกับญาติโยมที่ไปเยี่ยมเยียนสนทนาอยู่กับท่าน มีผู้คนมากมาย ที่มุ่งมากราบนมัสการท่าน โดยเฉพาะน้ำมนต์ มีผู้คนจากทุกสารทิศมาให้ท่านรดให้เพื่อล้างมนทิน และสร้างความเป็นสิริมงคลดียิ่งนัก ทุกวันหลวงพ่อต้องทำน้ำมนต์รดให้กับผู้มาหาท่านด้วยความทุกข์ร้อน และก็ศักดิ์สิทธิ์จนโด่งดังไปทั่วเมืองพิจิตร และจังหวัดใกล้ไกลจนทุกวันมิได้ขาดหรือว่างเว้น
     เมื่อวันที่หลวงพ่อย้ายจากวัดบางคลานใต้ หรือวัดคงคารามนั้น หลวงพ่อได้หักกิ่งโพธิ์มาด้วย หนึ่งกิ่ง และนำไปปักลงที่ชายน้ำ โดยได้อธิษฐานไว้ขณะนั้นว่า "ถ้าเจริญรุ่งเรืองแผ่ไพศาล ก็ขอให้ต้นโพธิ์ นี้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยเถิด" และก็สมจริงดังคำอธิษฐานของท่านต้นโพธิ์ที่ท่านปลูกก็เจริญงอกงามเหลือเกิน จนชื่อเสียงของท่านขจรขจายไปไกลแสนไกล ลูกศิษย์ลูกหาก็มาก ต่างแวะเวียนกันมาหาหลวงพ่อ มิได้ขาด บ้างก็มาให้ท่านรดน้ำมนต์ บ้างก็มาขอวัตถุมงคลจากท่าน เมื่อท่านเอ่ยปากจะก่อสร้างอะไรเป็นต้องได้ดังใจคิด เพราะญาติโยมได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยเหลือหลวงพ่อเงินทุกสิ่งทุกอย่าง
     บางท่านกล่าวว่า ไม่รู้เรียกหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานได้อย่างไร แต่สันนิษฐานว่า คงจะเป็นระยะเวลาที่หลวงพ่อเงินกำลังโด่งดังมากในช่วงสุดท้ายของชีวิตท่าน และคงจะมีวัตถุมงคลออกมามาก มีผู้ไปขอ ของดีๆจากท่าน แม้แต่พ่อค้าชาวจีนที่ตลาดสำเพ็งก็ยังดั้นด้นไปขอของดีๆ จากท่าน โดยเฉพาะพระเครื่องพิมพ์ดังๆของท่าน ก็ได้รับมาจากมือของหลวงพ่อเงินกันมากมายหลายคน
     ถึงแม้หลวงพ่อเงินจะย้ายออกจากวัดท้ายน้ำกลับไปอยู่ที่วัดวังตะโก หรือวัดบางคลานแล้ว ท่านก็ยังเอาใจใส่กลับมาช่วยบูรณะปฏิสังขรมิได้ทอดทิ้งเสียเลย และวัดคงคารามเมื่อหลวงพ่อโห้ได้มรณภาพไปแล้ว ท่านก็ยังกลับไปช่วยสร้างศาลาและบูรณะปฏิสังขรสิ่งก่อสร้างต่างๆ ให้อีกมากมาย ทั้งๆที่การเดินทางไปมาหาสู่กันของวัดท้ายน้ำและวัดคงคารามในสมัยก่อนนั้นยากลำบากอย่างที่สุด
     การอยู่ยงคงกระพัน แรกเริ่มของหลวงพ่อเงิน ท่านพระครูวิจิตรวุฒิกร เจ้าอาวาสวัดท้ายน้ำ องค์ก่อนได้รับการบอกเล่ามาจากญาติโยมอีกต่อหนึ่งว่า มีอยู่ช่วงระยะหนึ่ง หลวงพ่อเคยขัดใจกับพี่ชายของท่านคือ (ท่านขุนภุมรา) หรือตาทอง เชี่ยวชาญทางด้านรักษาโรคภัยแผนโบราณมาก ชาวบ้านย่านละแวกบ้านของแก ใครเป็นอะไรก็จะต้องมาให้แกเยียวยารักษาให้ทุกบ้าน
     แต่ว่าตาทองแกชอบดื่มสุรามากทุกวันไม่ว่างเว้น วันหนึ่งควายของหลวงพ่อเกิดการขัดใจกับควายตาทองผู้พี่ จึงขวิดกันกลางลานวัดเลยทีเดียว ขวิดกันอยู่นานมาก ในที่สุด ควายของตาทองเกิดแพ้ ออกวิ่งหนีมีเลือดออกตามบาดแผลมาก ส่วนควายของหลวงพ่อเงินไม่มีบาดแผลเลย ตาทองจึงโมโหควายของหลวงพ่อเงินมาก ครั้นพอตกเย็น ตาทองก็ดื่มเหล้า เมาได้ที่ก็ข้ามฟากไปหาหลวงพ่อ ตะโกนลั่นๆว่า "ท่านเงินเจาว่าท่านนักหรือไง" หลวงพ่อเห็นพี่ชายเมามาก จึงพูดไปเพื่อให้ใจของพี่ชายเย็นๆไว้บ้างว่า "ข้าจะเก่งอย่างไรของข้าเป็นสงฆ์" ฝ่ายตาทองจึงพูดต่อตามประสาคนขี้เมาอีกว่า "เขาลือว่าท่านเก่ง ยิ่งเรื่องยิง ฟันท่านแน่นักหรือ" หลวงพ่อเงินจึงตอบออกไปว่า "ข้าไม่มีดีอะไรหรอก" จากนั้นด้วยฤทธิ์สุราเต็มพิกัดของตาทองผู้พี่ จึงข้ามฟากกลับบ้านไปสักครู่ด้วยความเจ็บใจที่ควายตัวเองพ่ายแพ้ แต่ตาทองไม่ยอมแก้จึง แบกปืนแก๊ป ข้ามฟากมาหาหลวงพ่อใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะทดลองดูว่า หลวงพ่อจะแน่แค่ไหน
     ส่วนทางด้านหลวงพ่อก็แน่เหมือนกันว่า "ข้าอยู่นี่ไง โนมพี่เลือกยิงเอาให้เหมาะๆก็แล้วกัน" ฝ่านตาทองไม่รอช้ายกปืนขึ้นเล็งไปยังร่างของหลวงพ่อทันที เสียงนกปืนสับดัง "แชะ แชะ" อยู่สามถึงสี่ครั้ง ปรากฎว่าไม่มีเสียงดังเลยจึงเอาปืนลง ปรากฎมีน้ำไหลโกรกออกจากปากกระบอกปืนของตาทอง หลวงพ่อเงินจึงดุสำทับไปว่า "ถ้าไม่ใช่พี่ชายข้าจะตีเข้าให้บ้าง" จากนั้นตาทองจึงก้มหน้าเดินงุดๆกลับบ้านของแก
     เหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นที่โจษจันกันไปทุกตำบล ถึงความเข้มขลังในอาคมของหลวงพ่อต่างก็มาขอเครื่องรางของขลังกันไม่เว้นวันเลยทีเดียว
     โดยตาทองผู้นี้ เป็นพี่ชายของหลวงพ่อเงินคนที่สาม แกเป็นนายกองส่วยรัชชูปการ มีความรู้ทางด้านหมอแผนโบราณมากในสมัยนั้น จากการที่แกได้รับหน้าที่ให้เก็บส่วยน้ำผึ้ง จึงได้บรรดาศักดิ์เป็น "ท่านขุนภุมรา" จากเหตุการณ์ที่แกใช้อาวุธปืนข้ามน้ำไปยิงหลวงพ่อได้ ทั้งๆที่หลวงพ่อท่านเป็นน้องชาย อีกทั้งยังครองผ้าเหลืองเป็นพระสงฆ์อยู่ทั้งองค์ยังกล้าทำได้ลงคอขนาดนั้น ทำให้หลวงพ่อท่านไม่อยากจะ ไปอาลัยใยดีอะไรด้วย
     ต่อมา เมื่อตาทองได้สิ้นชีวิตลง หลวงพ่อเงินท่านก็ไม่ยอมไปในงานศพเลย ในฐานะเป็นพี่ชายของท่าน จึงให้ลูกศิษย์คนหนึ่งนำผ้าไตรไปช่วยในงานศพนั้นด้วย ส่วนท่านนั้นเด็ดเดียวขนาดไม่ยอมไป เผาผีกันเลย
     ช่างภาพถ่ายภาพหลวงพ่อไม่ติด โดยมีผู้ประสงค์อยากจะได้ภาพถ่ายของหลวงพ่อเงินเพื่อไว้สักการะบูชา จะได้เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และครอบครัว มาจากกรุงเทพฯ แต่เป็นชาวอินเดียไปขอถ่ายภาพ จากหลวงพ่อแต่การที่ทำการถ่ายครั้งแรกนั้น ภาพไม่ติด เพราะกระจกแตก ช่างภาพนึกเอะใจในสิ่งอัศจรรย์ เมื่อแก้ไขได้ที่แล้วก็ขอหลวงพ่อถ่ายใหม่อีกครั้ง การถ่ายครั้งนี้ปรากฎว่าภาพของหลวงพ่อติดเพียงซีกเดียว เท่านั้นช่วงภาพพยายามจะถ่ายให้ได้อีก แต่ก็มืดเสียก่อน จึงต้องนอนค้างที่วัดวังตะโกนั้นเสียหนึ่งคืน
     จนรุ่งเช้า หลวงพ่อจึงได้ให้ช่างถ่ายภาพถ่ายใหม่อีก เป็นครั้งที่สาม รูปของหลวงพ่อจึงได้ติดชัดได้ในครั้งนี้ สร้างความอัศจรรย์ให้ช่างภาพชาวอินเดียเป็นยิ่งนัก 

ประวัติและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร ตอนที่ 2


     สำหรับบทความพระเครื่องในวันนี้ผมก็จะมาบอกเล่า ประวัติและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร กันต่อจากบทความเดิมของหลวงพ่อเงิน ในตอนที่แล้วครับ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาสำหรับทุกท่านๆ ผมว่าเริ่มต้นบทความเครื่องดีๆสำหรับวันนี้กันเลยดีกว่าครับ
     วันมรณภาพของหลวงพ่อเงิน บันทึกที่มีอยู่ ตรงกันทุกแห่งว่าหลวงพ่อเงินมรณภาพเมื่อ วันศุกร์ แรม 11 ค่ำ เดือน 10 ปี มะแม เวลา 5.00 น. ตรงกับวันเดือนปีในทางสากล คือ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2462 ท่านมรณภาพที่วัดวังตะโก หรือวัดบางคลาน ตำบลบางคลาน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร
     ประวัติของหลวงพ่อ ช่วงชีวิตในฉากสุดท้ายของท่าน ไม่มีปัญหาอะไร ทุกคนได้ยินได้ฟังมาเหมือนๆกัน แต่ตอนที่หลวงพ่อเงินท่านเกิดมา ไม่มีผู้ใดจะจดจำเท่าใดนัก นอกจากบุคคลในครอบครัวของ ท่านเท่านั้น แต่ทุกคนไม่รู้ว่า ผู้ที่เกิดมากับฝีมือหมอตำแยในละแวกบ้าน ใครบ้างจะเป็นบุคคลสำคัญ ถึงกับต้องคอยจดวันเดือนปีเอาไว้
     โดยญาติโยมต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะเก็บศพของหลวงพ่อเงินไว้ก่อน สักหนึ่งปี เป็นอย่างน้อย เพื่อมิให้ดป็นการเพิ่มความเงียบเหงาอาลัยมากไปกว่านั้น เพราะอย่างน้อยก็ยังมานมัสการกราบไหว้ เรือนร่างของท่านเสมือนหนึ่งว่า ท่านยังอยู่ แต่ยังไม่ทันที่จะถึงเวลาเก็บอัฐิของหลวงพ่อเลย ญาติโยมและบรรดาศิษย์ที่มีความเคารพนับถือท่าน ต่างก็เฮโลเข้าแย่งกัน ของสิ่งใดที่หลวงพ่อเคยใช้อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นจีวร สบง ข้าวของเครื่องใช้ แม้จะได้คนละเล็กน้อยก็เอาดี เพื่อนำไปเป็นวัตถุมงคลคุ้มครอง แม้แต่เถ้าถ่านก็ไม่มีเหลือให้เห็นเลย
     อภินิหารของหลวงพ่อเงิน นั้นยังคงความเข้มขลังอยู่ ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่อเงิน ได้แก่ต้นโพธิ์ที่หลวงพ่อเงินได้หักกิ่งมาปักไว้ริมน้ำหน้าพระอุโบสถ วัดวังตะโก ก่อนจะนำมาปักหลวงพ่อได้ อธิษฐานจิตขอเสี่ยงทายไว้ว่า หากวัดท่านจะเจริญรุ่งเรืองก็ขอให้กิ่งโพธิ์กิ่งนี้จงแตกกิ่งก้านกว้างใหญ่ไพศาลด้วยเถิด
หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร
      ต่อมาไม่นาน กิ่งโพธิ์นั้นก็ออกรากหยั่งลึกลง และงอกงามเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับวัดของท่านที่ท่านได้สร้างขึ้นมา เมื่อตอนที่ท่านอยู่ที่วัดแห่งนี้ท่านได้ทำแคร่ไม้ไว้ใต้ต้นโพธิ์ เพื่อไว้พักผ่อน อิริยาบทของท่าน แต่เมื่อท่านได้สิ้นชีวิตลงแล้ว พระครูพิมูลธรรมเวท เจ้าอาวาสได้ทำการสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่แทนหลังเดิม ซึ่งแก่ชรามากแล้ว แต่กิ่งก้านของต้นโพธิ์ของหลวงพ่อได้มาปิดบังหน้าพระอุโบสถ ทำให้ขาดความสวยงามไปมากท่านพระครูธรรมเวทจึงได้ว่าจ้างให้ชาวบ้านมาทำการตัดกิ่งเหล่านั้นออกไป
     แต่ไม่มีชาวบ้านคนไหนที่กล้าจะเสี่ยงกับงานที่กระทบกระเทือนของหลวงพ่อชิ้นนี้เลย ในที่สุดพระครูพิมูลธรรมเวท จึงได้นำดอกไม้ ธูป เทียน มาจุดบอกกล่าวขอความกรุณาจากหลวงพ่อเงิน โดยการที่ทำการตัดกิ่งโพธิ์ในครั้งนี้ ก็เพื่อจะทำให้วัดสวยงามขึ้น มิใช่เป็นการดูหมิ่นลองดีอะไรกับหลวงพ่อ และขอให้หลวงพ่อหักให้ด้วย
     จากนั้นมาเพียงไม่กี่วัน กิ่งโพธิ์กิ่งนั้นก็หักครืนลงมาเอง โดยไม่มีลมพายุ หรือว่าสิ่งผิดปรกติจากภัยธรรมชาติใดๆเลย
     เมื่อกิ่งโพธิ์ใหญ่หักลงมาเอง โดยไม่ต้องตัด ต้องไปรบกวนผู้ใดให้มาช่วยตัดเช่นนั้น ท่านเจ้าอาวาสได้ให้ นางจันทร์ชาวบ้านในย่านนั้นมาจัดการเลื่อยเป็นท่อนๆ แล้วเผาถ่านแบ่งกันคนละครึ่งกับทางวัด หลังจากจัดการเลื่อยเรียบร้อยแล้วก็นำมากองรวมจุดไฟเผา แต่มันช่างน่าอัศจรรย์ที่ว่า จะเอาอะไรมาทำเชื้อไฟ ไม้โพธิ์นั้นก็ไม่ยอมติดไฟ ตรงกันข้ามตัวนางจันทร์เองกลับมีรอยไหม้พองไปทั้งตัวหูตาก็ดับมืดมองอะไร ฟังอะไรไม่รู้เรื่อง มีอาการทรมานเป็นที่สุด จากนั้นเพียงไม่กี่คืนหลวงพ่อเงินก็มาดุกล่าวนางจันทร์ในฝันว่า "กูให้ของดีมึงไว้ใช้ มึงกลับไม่รู้คุณค่าเอาไปเผาเสียอีก" เมื่อนางจันทร์ตกใจตื่น ทบทวนความฝันดีแล้ว ก็นำดอกไม้ ธูปเทียน เท่าอายุของตนเอง มาขอขมาลาโทษ ต่อหน้ารูปหล่อของหลวงพ่อเงิน เพียงไม่กี่วันอาการต่างๆของนางจันทร์ก็คืนสู่ปรกติ
     เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2514 ต้นโพธิ์ของหลวงพ่อเงินก็มีอันต้องแตกดับลง คราวนี้ไม่ใช่กิ่งหักเช่นครั้งก่อน หากแต่หักลงมาทั้งต้น โดยไม่มีลมพายุ หรือฝนฟ้าคะนองเลย อยู่ๆดีก็หักลงมาเอง
     บทเรียนที่เกิดขึ้นกับนางจันทร์ในครั้งก่อน เตือนใจให้ชาวบ้านได้ดีทีเดียว ทุกคนต่างพากันนำกิ่งโพธิ์เล็กบ้างใหญ่บ้างไปเกาะเป็นพระไม้โพธิ์ หรือวัตถุมงคลอื่นๆกัน จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือให้เห็นอีก จึงเป็นอันว่า แม้แต่ต้นโพธิ์อธิษฐานของหลวงพ่อก็ยังไม่พ้น "อนิจจัง"
     เมื่อปี พ.ศ. 2515 ทางวัดได้จัดให้มีพิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคลต่างๆ อยู่นั้น ดวงอาทิตย์ที่กำลังเจิดจ้าอยู่ตอนเที่ยงวัน พลันก็มีแสงทรงกลดขึ้นเป็นวงล้อมรอบ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นเป็นยิ่งนัก พอตกตอนกลางคืนก็เกิดจันทรุปราคาขึ้นอีก ชาวบ้านต่างตีเกราะเคาะวัตถุยิงปืนให้เกิดเสียงดังขึ้นตามประเพณีที่เชื่อกันมาแต่สมัยโบราณว่า เมื่อเกิดเสียงดังราหูจะคลายจันทร์ออกมา ผู้ที่อยู่ในงานก็ยกปืนยิงไปทางต้นไม้ ที่ติดภาพโฆษณาซึ่งมีรูปหลวงพ่อเงินอยู่ด้วย ปรากฎว่ายิงไม่ออกเลยจึงเฮโลเข้าไปเก็บเอาไว้ บ้างก็ซื้อขายกันด้วยราคาค่อนข้างสูง
     ของดีอีกอย่างก็คือ "สัปคับช้าง" หรืออานที่ใช้นั่งบนหลังช้างนั้นเอง เป็นอาสนะท่หลวงพ่อใช้รองนั่ง บนหลังช้างเวลาออกไปทำการบวชให้กับบุตรหลานของชาวบ้านไกลๆ เมื่อสิ้นบุญหลวงพ่อแล้ว ทางวัดก็ได้นำไปไว้หลังพระอุโบสถเก่า ต่อมามีผู้ขอไปตัดแบ่งทำตระกรุดบ้าง เครื่องรางของขลังอื่นๆอีก จนไม่มีเหลือแม้แต่เศษเล็กๆน้อยๆ
     ต้นละมุด ก็ไม่พ้นกฎธรรมดาของโลก เมื่อทุกๆอย่างในสมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ต่อมาก็ทะยอยจากไปก็มาถึงต้นละมุด ขึ้นอยู่หน้ากุฎิหลวงพ่อ ที่หลวงพ่อใช้เป็นที่ให้ผู้ที่ต้องการรดน้ำมนต์นั่งตรงใต้ ละมุดต้นนี้ เป็นการตายที่แปลกๆ
     แต่ตามปรกตินั้นต้นไม้ถ้าเวลาตายใบก็จะร่วงหมดก่อน แล้วลำต้นจึงแห้งตาย แต่ละมุดต้นนี้ถึงแม้จะตายไปแล้วหลายเดือนแต่ใบก็ยังอยู่ในสภาพเดิม แม้จะแห้งกรอบไปแล้ว ภายหลังก็มีผู้มาขอไปส่วนหนึ่ง นำไปแกะเป็นพระต่างๆ ไปทำตะกรุดและวัตถุมงคลอื่นๆอีก ปรากฎว่ากันปืน กันระเบิดได้ดีนัก และก็เช่นเดียวกันอีกนั้นและครับทุกท่านๆ แม้แต่รากเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่มีเหลือให้เห็นอีกเช่นเคย
     เสด็จในกรมหลวงชุมพร ท่านเป็นพระโอรสองค์ที่ ยี่สิบแปด ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ห้า ในเจ้าจอมมารดาโหมดทรงเป็นต้นตระกูล "อาภากร ณ อยุธยา" พระองค์ได้สำเร็จวิชา จากสำนักของหลวงปู่ศุข แห่งวัดมะขามเฒ่า
กรมหลวงชุมพร
      แล้วจากนั้นจึงได้ทรงนมัสการถามถึงอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคมในแผ่นดินสยามแห่งนี้ นอกจากท่านอาจารย์ศุขแล้วยังจะมีพระเถระรูปใดอีกหรือ ที่มีวิชาอาคมสูงส่งเกินท่าน หรือแม้แต่จะเพียงเสมอเหมือนท่าน อยู่อีกเล่า ท่านพระอาจารย์ศุขจึงได้กล่าวกับกรมหลวงชุมพรมีใจความตอนหนึ่งว่า
     "ล่องเรือจากนี้ขึ้นไปถึงวัดวังตะโกหรือวัดบางคลานยังมี ท่านขรัวบ้านบางคลาน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร นามว่าท่านอาจารย์เงิน ท่านมีวิชาอาคมแก่กล้า ยิ่งนักยากที่จะหาผู้เรืองวิชาคมท่านใด ไปเสมอเหมือนท่านอาจารย์เงินได้เลย ท่านเป็นศิษย์ผู้พี่ของอาตมาเอง จนมุ่งหน้าขึ้นไปเกิดแล้วจะได้พบท่านขรัวผู้นี้แน่นอน"
     จากการที่ได้ทราบกิติศัพท์ของหลวงพ่อเงินแล้วกรมหลวงชุมพร จึงได้เตรียมการมุ่งขึ้นสู่ถิ่นชาละวัน หลังจากได้ร่ำเรียนสรรพวิชาอาคมจากหลวงปู่ศุข จนหมดทุกกระบวนความแล้วนานประมาณ สิบห้าวัน กับพระอาจารย์แห่งวัดมะขามเฒ่าแห่งนี้
     หลังจากที่หลวงพ่อเงินท่านได้ทราบแล้ว จึงได้เรียกพระลูกวัด และลูกศิษย์ตลอดจนญาติโยมที่อยู่ใกล้ๆวัดโดยบอกว่า วันเวลาเร็วๆนี้ "เสือจะมา" ให้เตรียมการเก็บกวาดสถานที่ จัดพิธีต้อนรับให้เรียบร้อย แต่ทุกคนรวมทั้งพระเณรในวัดก็รอวัน "เสือจะมา" ต่างก็ไม่รู้ว่าผู้ใดจะมากันแน่ จากวันเวลาเพียงการเดินทางของกรมหลวงชุมพรโดยทางเรือ ไม่นานนักก็มาถึงท่าน้ำวัดตะโก วันนั้นก็เหมือนเดิมหลวงพ่อได้เรียก ให้ทุกคนมาสั่งอีกว่า "วันนี้แหละเสือจะมาถึง" และก็เป็นความจริง
     ตะวันคล้อยดวงย่างเข้ามายามบ่ายมากโขอยู่ เรือของกรมหลวงชุมพรก็เทียบท่าน้ำที่หน้าวัดพระองค์ท่าน จึงถามพระในวัดว่า หลวงพ่อเงินไปเสียทางไหนล่ะ พระลูกวัดจึงว่า หลวงพ่อเงินสั่งว่า จะไปอยู่จำพรรษาที่วัดท้ายน้ำ กลับเมื่อใดไม่ได้บอกไว้
     กรมหลวงชุมพรจึงสั่งขบวนกลับ แต่พอบ่ายโขอยู่ก็เสด็จกลับมาอีก พบหลวงพ่อเงินยืนรอรับเสด็จอยู่แล้ว เมื่อได้สนทนากันเพียงพอแล้ว กรมหลวงชุมพรก็ได้ร่ำเรียนวิชาต่อจากหลวงพ่อเงินจนนาน ไม่ต่ำกว่าครึ่งเดือนจึงได้เสด็จกลับกรุงเทพฯ
     ทั้งหลวงพ่อเงิน และหลวงปู่ศุข ต่างก็เป็นพระอาจารย์ของกรมหลวงชุมพร ทั้งสององค์ แต่หลวงปู่ศุขได้กล่าวว่า หลวงพ่อเงิน เป็นศิษย์ผู้พี่ที่ร่วมอาจารย์เดียวกัน แต่ไม่มีผู้ใดได้ทราบว่า ใครหรือพระอาจารย์ ท่านไหนที่เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อเงินและหลวงปู่ศุข
     พอสรุปได้ว่า ท่านทั้งสององค์นี้ต้องออกเดินธุดงค์แล้วจึงได้พบกัน จากนั้นคงจะไปพระเถระที่เก่งทางด้านไสยเวทคาถาอาคม ท่านทั้งสองจึงได้ศึกษา เล่าเรียนกับพระอาจารย์ท่านนั้นถึงได้กล่าวกับกรมหลวงชุมพร ว่า "เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน" และท่านทั้งสองนี้ประวัติของท่านขาดหายไปนานมากทีเดียว ประวัติของหลวงพ่อเงินขาดตอนไปนานไม่ต่ำกว่า ห้าสิบปี เป็นช่วงเวลาที่ท่านออกธุดงค์วัตร ฝึกวิปัสสนา อยู่ตาม ป่าเขากว่าจะกลับมาอยู่วัดท้ายน้ำ และย้ายไปอยู่วัดบางคลานในวาระสุดท้าย ครับทุกๆท่าน 
ขอบมูลจาก
http://www.prayotniyom.com/article_detail.php?id=84
http://www.prayotniyom.com/article_detail.php?id=85




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น